car engineering knowledge, review new and old cars classified by categories, update car news.
วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
วิธีไล่แมวไม่ให้มานอนบนรถ
หลายๆ ท่านอาจจะเคยมีปัญหาระหว่างสัตว์เลี้ยงกับรถของท่านดังเช่นผู้เขียนเคยประสบพบเจอมา เนื่องจากหลายๆ ครั้งที่ผู้เขียนล้างรถอย่างสะอาดสะอ้าน พอตื่นเช้ามาทีไรกลับพบว่ามีรอยเท้าแมวเลอะเทอะเต็มรถ ทั้งมาเป็นกลุ่ม มาเดี่ยวๆ แมวคนอื่นบ้าง แมวตัวเองบ้าง หรือหนักๆ ก็ถึงขั้นถ่ายมูลเป็นของขวัญให้ดูต่างหน้า ครั้นจะเอาปืนอัดลมไล่ยิงก็กลัวมีปัญหากับเจ้าของ ถ้าเป็นแมวตัวเองก็สงสารทำไม่ลง วันนี้ จะเสนอวิธีไล่แมวโดยที่ท่านไม่ต้องลงมือกับเจ้าเหมียวสุดแสบเหล่านี้ วิธีก็คือใช้เกล็ดการบูรโรยบริเวณที่แมวชอบมาอึ หรือบริเวณที่ไม่ต้องการให้แมวเข้า เช่น ทางเข้าโรงรถ รอบๆโรงรถ หรือรอบๆ บริเวณที่รถจอดอยู่ กลิ่นของการบูรที่มีกลิ่นฉุนรุนแรงจะส่งผลทำให้ประสาทการรับกลิ่นของแมวสับสน ทำให้เจ้าเหมียวรู้สึกไม่อยากเข้าไปในบริเวณนั้นอีก เกล็ดการบูรนั้นไม่เป็นอันตราย สามารถใช้โรยได้ตามพื้นคอนกรีต โรยบนกรวด สนามหญ้า หรือแม้กระทั่งแปลงผักก็ยังได้อีกด้วย ท่านอาจจะโรยเกล็ดการบูรทุกๆ 2 ถึง 3 วัน หรือเมื่อกลิ่นการบูรจางลง หรือถ้าอยากใช้วิธีอย่างมืออาชีพ ท่านก็สามารถหาซื้อสินค้าที่เรียกว่า สเปรย์สร้างวินัยให้สัตว์เลี้ยง โดยผลิตภัณฑ์นี้มีจำหน่ายตามเพ็ตช็อบ และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป สเปรย์นี้จะช่วยป้องกันไม่ให้แมว หรือสุนัข มาถ่ายบริเวณที่ท่านฉีดสเปรย์ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้สุนัขและแมวมากัดแทะรองเท้า เฟอร์นิเจอร์ อีกด้วย แต่สิ่งที่ควรระวังคือไม่ควรฉีดสเปรย์ใส่สุนัขและแมวหรือสิ่งของโดยตรง ควรฉีดบริเวณรอบๆ เท่านั้น เจ้าสัตว์เลี้ยงแสนซนเหล่านั้นจะรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนา และจะหลีกเลี่ยงจากบริเวณที่มีกลิ่นดังกล่าวจนกว่ากลิ่นจะจางไป
ป้ายกำกับ:
การดูแลรักษารถยนต์,
แมว,
แมวบนรถ,
รถ,
ไล่แมว
วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
ไขข้อข้องใจกับน้ำมัน E85
ด้วยราคาน้ำมันในยุคปัจจุบันนี้มีราคาสูงขึ้นตลอด จึงมีการคิดค้นพลังงานทดแทนชนิดต่างๆขึ้นมามากมาย หนึ่งในนั้นก็คือน้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85 ซึ่งมีราคาต่ำกว่า เบนซิน และแก็สโซฮอลล์ 91, 95 แต่ E85 จะช่วยลดต้นทุนในการเดินทางของคุณหรือเปล่า เรายังต้องหาคำตอบกัน
อันดับแรกเราควรทำความรู้จักกับ E85 ก่อน ว่าคืออะไร อธิบายง่ายๆ ก็คือ E85 คือเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสม ของเอทานอล 85% กับเบนซิน 15% E85 จะปล่อยมลภาวะน้อยกว่าน้ำมันเบนซิน แต่หลายคนยังมีข้อสงสัยว่าเติม E85 แล้ว อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง คำตอบก็คืออัตราสิ้นเปลืองมากขึ้น เพราะ ค่าความร้อนที่ได้จากการเผาไหม้เอทานอลนั้นจะได้ค่าความร้อนที่น้อยกว่าน้ำมันเบนซิน เครื่องยนต์จึงต้องมีการเพิ่มอัตราส่วนระหว่างอากาศกับเชื้อเพลิง ในอัตราเชื้อเพลิงที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับเบนซิน
E85 ทำให้สมรรถนะเครื่องยนต์ลดลงหรือไม่ ถ้าหาก E85 ใช้ในรถยนต์ที่รองรับกับเชื้อเพลิงชนิดนี้ ก็จะไม่ส่งผลให้สมรรถนะเครื่องยนต์ลดลง กลับกันจะช่วยลดอาการเขกของเครื่องยนต์ เนื่องจาก E85 มีค่าออกเทนถึง 100-105 จึงช่วยลดการชิงจุดระเบิด (ค่าออกเทนคือค่าความต้านทานการจุดระเบิดยิ่งค่าออกเทนสูงยิ่งมีความต้านทานการจุดระเบิดสูงตามไปด้วย ค่าออกเทนคือสัดส่วนระหว่าง iso-octane และ heptane ที่อาจมีสารอื่นปนอยู่ด้วย หากค่าออกเทน 95 ก็คือ iso-octane 95% และ heptane 5% ค่า 100 ก็คือ iso-octane บริสุทธิ์ที่มีความต้านทานการจุดระเบิดมากที่สุด แต่ก็มีสารบางชนิดที่มีค่าออกเทนสูงกว่า Iso-octane บริสุทธิ์ อย่างเอทานอล โดยเอทานอลบริสุทธิ์ จะมีค่าออกเทน ที่ 107-113 เมื่อผสมเข้ากับน้ำมันเบนซิน กลายเป็น E85 แล้ว ก็จะได้ออกเทน 100-105 ซึ่งหมายความว่ามีความต้านทานการจุดระเบิด เท่ากับหรือมากกว่า iso-octane บริสุทธิ์)แต่คุณสมบัติการดูดความชื้นของเอทานอล จะสร้างปัญหาเมื่อจอดรถทิ้งไว้นานๆ เอทานอล จะแยกตัวออกจากเบนซิน และดูดความชื้นเอาไว้ทำให้เกิดการกัดกร่อน และเป็นสนิมนั่นเอง
รถหลายรุ่นสามารถรองรับ E85 ได้เช่น Mitsubishi Lancer EX, Chevrolet Cruze และ Sonic, Toyota Corolla Altis, Honda, Civic และ City, Mazda 3 Skyactive, Volvo V40 ไปจนถึง Bentley Continental GT
ส่วนรถที่ไม่รองรับแต่ต้องการเติม E85 สามารถทำได้โดย ติดชุด Kit E85, แก้ไขโปรแกรมในกล่องควบคุม, พ่วงหรือเปลี่ยนกล่องควบคุม และต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ และตรวจสอบชิ้นส่วนต่างๆให้พร้อมกับการใช้งาน เช่น ท่อยางต่างๆ ถังน้ำมัน ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง ท่อทางเดินเชื้อเพลิง หัวฉีด เป็นต้น
เพิ่มเติมอาการชิงจุดระเบิด คือ การที่เครื่องยนต์จุดระเบิดก่อนที่ลูกสูบจะเคลื่อนที่ถึงจุดศูนย์ตายบน เนื่องจากน้ำมันค่าออกเทนต่ำมีความต้านทานการจุดระเบิดต่ำ ทำให้เมื่อถูกแรงอัดอากาศสูงๆ จึงเกิดติดไฟได้เองโดยไม่ต้องมีสื่อกลางในการจุดระเบิดเช่นหัวเทียนหรือคอยล์จุดระเบิด ทำให้เกิดการเผาไหม้ที่สูญเปล่าหรืออย่างหนักเลยก็คือเครื่องน็อกหยุดการทำงานเพราะการจุดระเบิดสร้างความเสียหายแก่เครื่องยนต์ การที่ E85 มีค่าออกเทนสูงถึง 100-105 จึงช่วยลดอาการเหล่านี้ได้เพราะมีอัตราการต้านการจุดระเบิดสูง แต่ค่าออกเทนสูงก็ไม่ได้ช่วยให้เครื่องยนต์แรงขึ้นแต่อย่างใด
เพิ่มเติมอาการชิงจุดระเบิด คือ การที่เครื่องยนต์จุดระเบิดก่อนที่ลูกสูบจะเคลื่อนที่ถึงจุดศูนย์ตายบน เนื่องจากน้ำมันค่าออกเทนต่ำมีความต้านทานการจุดระเบิดต่ำ ทำให้เมื่อถูกแรงอัดอากาศสูงๆ จึงเกิดติดไฟได้เองโดยไม่ต้องมีสื่อกลางในการจุดระเบิดเช่นหัวเทียนหรือคอยล์จุดระเบิด ทำให้เกิดการเผาไหม้ที่สูญเปล่าหรืออย่างหนักเลยก็คือเครื่องน็อกหยุดการทำงานเพราะการจุดระเบิดสร้างความเสียหายแก่เครื่องยนต์ การที่ E85 มีค่าออกเทนสูงถึง 100-105 จึงช่วยลดอาการเหล่านี้ได้เพราะมีอัตราการต้านการจุดระเบิดสูง แต่ค่าออกเทนสูงก็ไม่ได้ช่วยให้เครื่องยนต์แรงขึ้นแต่อย่างใด
วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
เทียบสมรรถนะ BMW Z4 23i VS. Mercedes Benz SLK 200
ถ้าจะกล่าวถึงรถสปอร์ตขนาดเล็กไว้ขับโชว์มาดเท่ห์ๆ
ที่มีราคาไม่สูงเกินเอื้อมนักหลายคนคงจะนึกถึงเจ้า BMW Z4 กับ Mercedes
Benz SLK ซึ่งทั้ง 2 คัน ต่างก็เป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย
และด้วยราคาที่ขายตามเต้นท์รถมือสองเพียงแค่ 2 ล้านกลางๆ
ก็อาจทำให้ใครหลายๆคนเกิดกิเลสได้
ในวันนี้เราจะมาดูว่าเจ้ารถสองคันนี้มีอะไรที่เหมือนหรือต่างกัน
และคันไหนจะมีความน่าสนใจที่จะจับจองเป็นเจ้าของมากกว่ากัน
เริ่มกันที่ข้อมูลทางเทคนิค
BMW Z4 23i เป็นรถเครื่องยนต์แถวเรียง 6 สูบ DOHC 24 วาล์ว ความจุ 2,494 c.c. แรงม้าสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 6,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ที่ 2,750 รอบต่อนาที ระบบส่งกำลังเป็นแบบเกียร์อัตโนมัติ สเต็ปทรอนิค 6 สปีด ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง ส่วนระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบ อิสระแม็กเฟอร์สันสตรัท ด้านหลัง มัลติลิงค์
ทางด้าน Mercedes Benz SLK 200 มีเครื่องยนต์ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว มีระบบช่วยอัดอากาศด้วยซูเปอร์ขาร์จเจอร์ ความจุ 1,796 c.c. ให้แรงม้าสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร มาที่ระหว่าง 2,800-5,000 รอบต่อนาที ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด one touch shift ถ่ายกำลังลงสู่ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง ระบบกันสะเทือนด้านหน้าและด้านหลังเป็นแบบอิสระมัลติลิงค์
เปรียบเทียบสมรรถนะของเครื่องยนต์แล้วทั้ง 2 คันให้กำลังที่แตกต่างกันพอสมควร ด้วย Z4 ถือความได้เปรียบที่มีเครื่องใหญ่และมีลูกสูบให้ใช้งานถึง 6 สูบ จึงได้เปรียบในการทำความเร็วตีนปลาย แต่ลักษณะของการทำความเร็วจะมาแบบเรื่อยๆ ไม่ถึงขนาดรู้สึกถึงแรงดึงได้อย่างชัดเจน ต่างจาก SLK ที่มีซูเปอร์ชาร์จเป็นเครื่องช่วยอัดอากาศ หากลากตั้งแต่ 2,500 รอบขึ้นไปจะทำให้รู้สึกถึงแรงฉุดมากกว่า ในเรื่องของอัตราสิ้นเปลือง SLK จะได้เปรียบเนื่องจากเครื่องยนต์เล็กกว่าย่อมบริโภคน้ำมันน้อยกว่าเป็น ธรรมดา
ส่วนเรื่องระบบขับเคลื่อนและช่วงล่างทั้งคู่ใช้ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง ซึ่งสูตรเครื่องวางหน้าขับเคลื่อนล้อหลังในรถสปอร์ตก็นิยมทำกันอย่างแพร่ หลายทั้งในรถญี่ปุ่นและยุโรป เนื่องจากช่วยในเรื่องของความทนทานและอายุการใช้งาน เพราะการลดภาระของล้อหน้าลงไป และยังช่วยไม่ให้เกิดอาการอันเดอร์สเตียร์มากเกินไปจากการสาดโค้งที่ทำให้ เกิดการเทน้ำหนักไปทางด้านหน้า ด้านระบบกันสะเทือนนั้นเนื่องจากทั้ง 2 คัน เป็นรถสปอร์ตก็คงจะหวังให้ขับนิ่มเหมือนรถเก๋งซีดานก็คงจะไม่ใช่ อาการช่วงล่างของรถสปอร์ตย่อมรู้สึกกระด้างเป็นธรรมดา เนื่องจากช่วงล่างมีค่าความหนืดของช็อคแอบซอร์บเบอร์มากกว่ารถทั่วไป และยังเซ็ตค่า K หรือค่าความแข็งของคอยล์สปริงให้มากอีกด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยในการทรงตัวและความรวดเร็วแม่นยำในการควบคุม ใน Z4 ด้านหน้าเป็นระบบกันสะเทือนแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทซึ่งประกอบด้วยปีกนก ด้านล่าง 1 แกน และชุดสตรัทด้านบนเชื่อมต่อกับ โช้คอัพ และคอยล์สปริง ส่วน SLK เป็นแบบมัลติลิงค์ทั้งหน้าหลัง ซึ่งประกอบด้วยปีกนกบนล่างและบู๊ชเพื่อเหนี่ยวรั้งหรือค้ำยัน และยังมีชิ้นส่วนเชื่อมโยงระหว่างดุมล้อกับตัวถังอีกหลายชิ้น เปรียบเทียบทั้งสองระบบ SLK ได้เปรียบกว่าในเรื่องของความนุ่มนวล แต่ Z4 ได้เปรียบเวลาถอดซ่อมเพราะชิ้นส่วนน้อยกว่า
จะเห็นได้ว่าเรื่องสมรรถนะการขับขี่นั้นทั้ง 2 คันไม่ได้แตกต่างกันมากนักด้านความเร็วก็ใกล้เคียงกัน ด้านการทรงตัวและแฮนดลิ่งก็ให้อารมณ์คล้ายๆกัน เพียงแต่ Z4 ได้เปรียบที่เครื่องใหญ่ และการไร้ระบบช่วยอัดอากาศก็มีผลให้เครื่องยนต์สึกหรอน้อยกว่า SLK ก็ตอกกลับด้วยอัตราการบริโภคน้ำมันในเมืองที่ต่ำกว่าและให้ความรู้สึกกระฉับ กระเฉงเวลาออกตัว ส่วนค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษานั้นย่อมสูงกว่ารถปกติทั้งคู่ ส่วนเลือกคันไหนจะดีกว่านั้นก็คงแล้วแต่ว่าเป็นสาวกฝั่งไหนแล้วล่ะครับ
เริ่มกันที่ข้อมูลทางเทคนิค
BMW Z4 23i เป็นรถเครื่องยนต์แถวเรียง 6 สูบ DOHC 24 วาล์ว ความจุ 2,494 c.c. แรงม้าสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 6,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ที่ 2,750 รอบต่อนาที ระบบส่งกำลังเป็นแบบเกียร์อัตโนมัติ สเต็ปทรอนิค 6 สปีด ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง ส่วนระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบ อิสระแม็กเฟอร์สันสตรัท ด้านหลัง มัลติลิงค์
ทางด้าน Mercedes Benz SLK 200 มีเครื่องยนต์ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว มีระบบช่วยอัดอากาศด้วยซูเปอร์ขาร์จเจอร์ ความจุ 1,796 c.c. ให้แรงม้าสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร มาที่ระหว่าง 2,800-5,000 รอบต่อนาที ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด one touch shift ถ่ายกำลังลงสู่ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง ระบบกันสะเทือนด้านหน้าและด้านหลังเป็นแบบอิสระมัลติลิงค์
เปรียบเทียบสมรรถนะของเครื่องยนต์แล้วทั้ง 2 คันให้กำลังที่แตกต่างกันพอสมควร ด้วย Z4 ถือความได้เปรียบที่มีเครื่องใหญ่และมีลูกสูบให้ใช้งานถึง 6 สูบ จึงได้เปรียบในการทำความเร็วตีนปลาย แต่ลักษณะของการทำความเร็วจะมาแบบเรื่อยๆ ไม่ถึงขนาดรู้สึกถึงแรงดึงได้อย่างชัดเจน ต่างจาก SLK ที่มีซูเปอร์ชาร์จเป็นเครื่องช่วยอัดอากาศ หากลากตั้งแต่ 2,500 รอบขึ้นไปจะทำให้รู้สึกถึงแรงฉุดมากกว่า ในเรื่องของอัตราสิ้นเปลือง SLK จะได้เปรียบเนื่องจากเครื่องยนต์เล็กกว่าย่อมบริโภคน้ำมันน้อยกว่าเป็น ธรรมดา
ส่วนเรื่องระบบขับเคลื่อนและช่วงล่างทั้งคู่ใช้ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง ซึ่งสูตรเครื่องวางหน้าขับเคลื่อนล้อหลังในรถสปอร์ตก็นิยมทำกันอย่างแพร่ หลายทั้งในรถญี่ปุ่นและยุโรป เนื่องจากช่วยในเรื่องของความทนทานและอายุการใช้งาน เพราะการลดภาระของล้อหน้าลงไป และยังช่วยไม่ให้เกิดอาการอันเดอร์สเตียร์มากเกินไปจากการสาดโค้งที่ทำให้ เกิดการเทน้ำหนักไปทางด้านหน้า ด้านระบบกันสะเทือนนั้นเนื่องจากทั้ง 2 คัน เป็นรถสปอร์ตก็คงจะหวังให้ขับนิ่มเหมือนรถเก๋งซีดานก็คงจะไม่ใช่ อาการช่วงล่างของรถสปอร์ตย่อมรู้สึกกระด้างเป็นธรรมดา เนื่องจากช่วงล่างมีค่าความหนืดของช็อคแอบซอร์บเบอร์มากกว่ารถทั่วไป และยังเซ็ตค่า K หรือค่าความแข็งของคอยล์สปริงให้มากอีกด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยในการทรงตัวและความรวดเร็วแม่นยำในการควบคุม ใน Z4 ด้านหน้าเป็นระบบกันสะเทือนแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทซึ่งประกอบด้วยปีกนก ด้านล่าง 1 แกน และชุดสตรัทด้านบนเชื่อมต่อกับ โช้คอัพ และคอยล์สปริง ส่วน SLK เป็นแบบมัลติลิงค์ทั้งหน้าหลัง ซึ่งประกอบด้วยปีกนกบนล่างและบู๊ชเพื่อเหนี่ยวรั้งหรือค้ำยัน และยังมีชิ้นส่วนเชื่อมโยงระหว่างดุมล้อกับตัวถังอีกหลายชิ้น เปรียบเทียบทั้งสองระบบ SLK ได้เปรียบกว่าในเรื่องของความนุ่มนวล แต่ Z4 ได้เปรียบเวลาถอดซ่อมเพราะชิ้นส่วนน้อยกว่า
จะเห็นได้ว่าเรื่องสมรรถนะการขับขี่นั้นทั้ง 2 คันไม่ได้แตกต่างกันมากนักด้านความเร็วก็ใกล้เคียงกัน ด้านการทรงตัวและแฮนดลิ่งก็ให้อารมณ์คล้ายๆกัน เพียงแต่ Z4 ได้เปรียบที่เครื่องใหญ่ และการไร้ระบบช่วยอัดอากาศก็มีผลให้เครื่องยนต์สึกหรอน้อยกว่า SLK ก็ตอกกลับด้วยอัตราการบริโภคน้ำมันในเมืองที่ต่ำกว่าและให้ความรู้สึกกระฉับ กระเฉงเวลาออกตัว ส่วนค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษานั้นย่อมสูงกว่ารถปกติทั้งคู่ ส่วนเลือกคันไหนจะดีกว่านั้นก็คงแล้วแต่ว่าเป็นสาวกฝั่งไหนแล้วล่ะครับ
ป้ายกำกับ:
Benz,
BMW,
BMW Z4,
Mercedes-Benz,
Mercedes Benz SLK
รวมพล CrossOver SUV: Honda CRV, Subaru XV, Mazda CX5
ทุกวันนี้รถอเนกประสงค์รูปแบบ Crossover
นั้นเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายเนื่องจากประโยชน์ใช้สอยที่หลากหลาย
ห้องโดยสารที่กว้างขวาง สามารถใช้งานลุยๆ แบบรถกระบะ
หรือใช้งานเพื่อความสะดวกสบายแบบรถเก๋งซีดานก็ได้
ทั้งนี้ยังเหมาะสำหรับเป็นรถครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง ปัจจุบันใน segment
นี้มีรถเด่นๆอยู่ 3 รุ่น ได้แก่ Honda CRV เจ้าตลาด
ซึ่งครองยอดขายเหนือคู่แข่งมาอย่างยาวนาน, Subaru XV
ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร, Mazda CX5 รถใหม่สุดฮอต
ครั้งนี้เพื่อให้การเปรียบเทียบมีความยุติธรรมจึงได้เอาราคาและขนาดเครื่อง
ยนต์ที่ใกล้เคียงกันมาเป็นเกณฑ์ซึ่งทั้งหมดมีช่วงราคาระหว่าง 1.2-1.35
ล้านบาท และมีเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2,000 C.C. มาดูรายละเอียด เริ่มจาก
Honda CRV 2.0E 4WD
ใช้เครื่องยนต์ i-vtec 2.0 ลิตร ให้กำลัง 155 แรงม้า ที่ 6,500 rpm แรงบิด 190 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 rpm ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติ น้ำหนักตัวรถ 1,550 กิโลกรัม CRV โฉมใหม่ล่าสุดนี้เปลี่ยนแปลงลักษณะการขับขี่จากรุ่นเดิมที่มีลักษณะสมบุก สมบันมากกว่า Honda ได้ปรับให้รุ่นไหม่มีช่วงล่างที่นุ่มนวลนั่งสบาย เหมาะสำหรับเป็นรถครอบครัวมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าทาง Honda ตั้งใจจะให้เป็นรถครอบครัวใช้งานในเมืองแล้ว ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่มีมาให้ดูเหมือนจะลดความสำคัญลงไป ทั้งยังเป็นภาระให้ตัวรถมีน้ำหนักมากถึง 1,550 กิโลกรัม ซึ่งหนักกว่า Subaru ถึง 120 กิโลกรัม และหนักกว่า Mazda เกือบ 100 กิโลกรัม โดยที่พละกำลังของเครื่องยนต์นั้นไม่ได้มากกว่าอย่างขาดลอย ยังดีที่เลือกใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด แทนที่จะใช้เกียร์ CVT ทำให้การออกตัวไม่อืดอาดมากนัก การทำความเร็วอยู่ในระดับที่ดี แต่ในช่วงเกิน 120 กม./ชม. เริ่มออกอาการแผ่ว และในการเร่งแซงยังรู้สึกต้องเค้นกำลังอย่างหนัก อย่างตอนเร่งความเร็วจาก 80 ไปถึง 120 ต้องอาศัยเค้นรอบเครื่องให้แตะ 5,000 รอบ ระบบช่วงล่างถือว่าทำได้ดี ถึงแม้จะทำช่วงลางให้นุ่มแต่ก็ไม่ได้นุ่มจนยวบ การเข้าโค้งยังสามารถเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงได้ดีอยู่ ไม่มีอาการโคลง จะมีแต่การเอียงตัวบ้างเล็กน้อยซึ่งก็ไม่ทำให้เป็นอุปสรรคในการควบคุมรถ พวงมาลัยมีน้ำหนักเหมาะมือมีความแม่นยำดีรถสามารถซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีบน พื้นผิวขรุขระ
มาต่อกันที่ Subaru XV 2.0i Premium
ใช้เครื่องยนต์ Boxster ลูกสูบนอน 2.0 ลิตร ให้กำลัง 150 แรงม้า ที่ 6,200 rpm แรงบิด 196 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 rpm ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT พร้อม paddle shift ที่พวงมาลัย ขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ full time น้ำหนักรถเปล่าอยู่ที่ 1,430 กิโลกรัม ดูสเป็คแล้วเหมือนจะให้แรงม้าที่ไม่มากนัก แต่ระบบเกียร์และระบบขับเคลื่อนทำงานสอดประสานกันอย่างลงตัว รถทำความเร็วได้ดีในลักษณะให้อัตราเร่งแบบไปเรื่อยๆ ไม่ฉีกกระชากมากเกินไป การออกตัวทำได้รวดเร็วและราบรื่น การควบคุมการทรงตัวทำได้ดีอย่างไร้ที่ติ เนื่องจากเป็นเครื่องยนต์สูบนอนทำให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำกว่ารถ crossover รุ่นอื่น พวงมาลัยแม่นยำน้ำหนักกำลังดี สามารถเทโค้ง สาดโค้งได้อย่างมั่นใจ ให้อารมณ์แบบรถสปอร์ตจะมีที่ให้ติบ้างตรงที่ความกระด้างของช่วงล่าง และการใช้ระบบขับสี่อยู่ตลอดเวลามีส่วนทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน แต่น้ำหนักตัวรถเบากว่าคู่แข่งทั้ง CRV และ CX5 ก็อาจมีส่วนช่วยในเรื่องการประหยัดน้ำมันได้บ้าง (หากไม่รวมกับมวลน้ำหนักอย่างอื่นที่บรรทุกไปในรถ)
สุดท้ายมาที่รถที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ล่าสุดอย่าง
Mazda CX5 2.0s ใช้เครื่องยนต์ Skyactive 2.0 ลิตร มี 165 แรงม้า ที่ 6,000 rpm แรงบิด 210 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 rpm ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ขับเคลื่อนล้อหน้า น้ำหนักรถ 1,459 กิโลกรัม CX5 นั้นมีเครื่องยนต์ที่ให้กำลังจัดจ้านเลยทีเดียว เรียกว่าแรงกว่า CRV และ XV อย่างเห็นได้ชัด และไม่มีระบบขับสี่มาเป็นตัวถ่วงทำให้มีความคล่องตัว และยังช่วยเซฟอัตราสิ้นเปลือง การออกตัวทำได้อย่างรวดเร็วดุดัน และสามารถทำความเร็วได้อย่างต่อเนื่องไม่มีอาการแผ่วให้เห็น การเร่งแซงเพียงแค่กดคันเร่งลงไป 30% ก็จะมีเรี่ยวแรงมาให้ใช้อย่างเหลือเฟือไม่ต้องพยายามเค้นมากนัก ช่วงล่างเกาะถนนได้ดี สามารถลัดเลาะผ่านโค้งเล็กโค้งน้อยไปอย่างคล่องแคล่ว พวงมาลัยมีน้ำหนักเบาช่วยให้การขับซิกแซกฝ่าการจราจรที่ติดขัดเป็นไปได้ อย่างรวดเร็วและคล่องตัว แต่ช่วงล่างที่เกาะถนนหนึบกับเครื่องยนต์ที่จัดจ้าน กลับถูกทำให้เสียอารมณ์กับน้ำหนักของพวงมาลัยที่รู้สึกว่าจะเบาเกินไปในการ ขับขี่ด้วยความเร็วสูง ทั้งยังขาดความแม่นยำ ยังกับเป็นร่างทรงของ Mazda BT50 ยังไงยังงั้น อย่างไรก็ตามหากขับจนชินมือแล้วก็ไม่เป็นปัญหาอะไร สิ่งที่ประทับใจอย่างมากคือ รถคันนี้ประหยัดน้ำมันกว่า Honda CRV และ Subaru XV
มาถึงบทสรุป ถ้าหากจะเลือกซื้อต้องมาดูที่ราคาโดยที่
Honda CRV 2.0E มีราคา 1,274,000 บาท
Subaru XV 2.0i Premium ราคา 1,350,000 บาท
Mazda CX5 2.0s ราคา 1,300,000 บาท
หากดูที่ตัวรถ ถ้าต้องการรถครอบครัวอเนกประสงค์ใช้ชีวิตประจำวันในเมือง นั่งสบาย ก็เลือกไปที่ Honda CRV หากต้องการอารมณ์สปอร์ต เอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร ก็ไปที่ Subaru XV หากต้องการอัตราเร่งจัดจ้าน อัตราบริโภคน้ำมันไม่สิ้นเปลือง ก็ไปที่ Mazda CX5
หากจะเลือก Honda ศูนย์บริการและอะไหล่ก็มีอย่างแพร่หลาย ทั้งยังราคาค่าตัวถูกกว่าทั้ง Subaru และ Mazda สิ่งที่ด้อยกว่าก็หาของแต่งมาเพิ่มประสิทธิภาพได้ไม่มีปัญหา หากเลือกไปที่ Subaru ก็ต้องทำใจเรื่องศูนย์บริการและอะไหล่ที่มีน้อย และการที่รถมีความแตกต่างจากชาวบ้านชาวช่องเขา อย่างการใช้เครื่องลูกสูบนอน ยังสร้างความยุ่งยากในการซ่อมแซมและบำรุงรักษา ทั้งเกียร์ CVT ก็ยังเปราะบาง ถ้ามีนิสัยชอบตะบี้ตะบัน เหยียบคันเร่ง คงต้องได้ซ่อมเกียร์บ่อยหน่อย แต่ Subaru เป็นรถที่ขับสนุกที่สุด หากหวังความมันส์ในการขับขี่แล้วซื้อไปไม่ผิดหวัง ส่วน Mazda มีศูนย์บริการมากอยู่พอสมควร อะไหล่ถึงไม่แพร่หลายก็ไม่ได้หายากอะไร สมรรถนะของรถจัดว่าดี ขับสนุก ถ้าต้องการเดินทางสายกลางระหว่างความมันส์ กับประโยชน์ใช้สอย คันนี้ก็ใช่เลย
อ่านต่อภาค2
Honda CRV 2.0E 4WD
ใช้เครื่องยนต์ i-vtec 2.0 ลิตร ให้กำลัง 155 แรงม้า ที่ 6,500 rpm แรงบิด 190 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 rpm ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติ น้ำหนักตัวรถ 1,550 กิโลกรัม CRV โฉมใหม่ล่าสุดนี้เปลี่ยนแปลงลักษณะการขับขี่จากรุ่นเดิมที่มีลักษณะสมบุก สมบันมากกว่า Honda ได้ปรับให้รุ่นไหม่มีช่วงล่างที่นุ่มนวลนั่งสบาย เหมาะสำหรับเป็นรถครอบครัวมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าทาง Honda ตั้งใจจะให้เป็นรถครอบครัวใช้งานในเมืองแล้ว ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่มีมาให้ดูเหมือนจะลดความสำคัญลงไป ทั้งยังเป็นภาระให้ตัวรถมีน้ำหนักมากถึง 1,550 กิโลกรัม ซึ่งหนักกว่า Subaru ถึง 120 กิโลกรัม และหนักกว่า Mazda เกือบ 100 กิโลกรัม โดยที่พละกำลังของเครื่องยนต์นั้นไม่ได้มากกว่าอย่างขาดลอย ยังดีที่เลือกใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด แทนที่จะใช้เกียร์ CVT ทำให้การออกตัวไม่อืดอาดมากนัก การทำความเร็วอยู่ในระดับที่ดี แต่ในช่วงเกิน 120 กม./ชม. เริ่มออกอาการแผ่ว และในการเร่งแซงยังรู้สึกต้องเค้นกำลังอย่างหนัก อย่างตอนเร่งความเร็วจาก 80 ไปถึง 120 ต้องอาศัยเค้นรอบเครื่องให้แตะ 5,000 รอบ ระบบช่วงล่างถือว่าทำได้ดี ถึงแม้จะทำช่วงลางให้นุ่มแต่ก็ไม่ได้นุ่มจนยวบ การเข้าโค้งยังสามารถเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงได้ดีอยู่ ไม่มีอาการโคลง จะมีแต่การเอียงตัวบ้างเล็กน้อยซึ่งก็ไม่ทำให้เป็นอุปสรรคในการควบคุมรถ พวงมาลัยมีน้ำหนักเหมาะมือมีความแม่นยำดีรถสามารถซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีบน พื้นผิวขรุขระ
มาต่อกันที่ Subaru XV 2.0i Premium
ใช้เครื่องยนต์ Boxster ลูกสูบนอน 2.0 ลิตร ให้กำลัง 150 แรงม้า ที่ 6,200 rpm แรงบิด 196 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 rpm ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT พร้อม paddle shift ที่พวงมาลัย ขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ full time น้ำหนักรถเปล่าอยู่ที่ 1,430 กิโลกรัม ดูสเป็คแล้วเหมือนจะให้แรงม้าที่ไม่มากนัก แต่ระบบเกียร์และระบบขับเคลื่อนทำงานสอดประสานกันอย่างลงตัว รถทำความเร็วได้ดีในลักษณะให้อัตราเร่งแบบไปเรื่อยๆ ไม่ฉีกกระชากมากเกินไป การออกตัวทำได้รวดเร็วและราบรื่น การควบคุมการทรงตัวทำได้ดีอย่างไร้ที่ติ เนื่องจากเป็นเครื่องยนต์สูบนอนทำให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำกว่ารถ crossover รุ่นอื่น พวงมาลัยแม่นยำน้ำหนักกำลังดี สามารถเทโค้ง สาดโค้งได้อย่างมั่นใจ ให้อารมณ์แบบรถสปอร์ตจะมีที่ให้ติบ้างตรงที่ความกระด้างของช่วงล่าง และการใช้ระบบขับสี่อยู่ตลอดเวลามีส่วนทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน แต่น้ำหนักตัวรถเบากว่าคู่แข่งทั้ง CRV และ CX5 ก็อาจมีส่วนช่วยในเรื่องการประหยัดน้ำมันได้บ้าง (หากไม่รวมกับมวลน้ำหนักอย่างอื่นที่บรรทุกไปในรถ)
สุดท้ายมาที่รถที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ล่าสุดอย่าง
Mazda CX5 2.0s ใช้เครื่องยนต์ Skyactive 2.0 ลิตร มี 165 แรงม้า ที่ 6,000 rpm แรงบิด 210 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 rpm ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ขับเคลื่อนล้อหน้า น้ำหนักรถ 1,459 กิโลกรัม CX5 นั้นมีเครื่องยนต์ที่ให้กำลังจัดจ้านเลยทีเดียว เรียกว่าแรงกว่า CRV และ XV อย่างเห็นได้ชัด และไม่มีระบบขับสี่มาเป็นตัวถ่วงทำให้มีความคล่องตัว และยังช่วยเซฟอัตราสิ้นเปลือง การออกตัวทำได้อย่างรวดเร็วดุดัน และสามารถทำความเร็วได้อย่างต่อเนื่องไม่มีอาการแผ่วให้เห็น การเร่งแซงเพียงแค่กดคันเร่งลงไป 30% ก็จะมีเรี่ยวแรงมาให้ใช้อย่างเหลือเฟือไม่ต้องพยายามเค้นมากนัก ช่วงล่างเกาะถนนได้ดี สามารถลัดเลาะผ่านโค้งเล็กโค้งน้อยไปอย่างคล่องแคล่ว พวงมาลัยมีน้ำหนักเบาช่วยให้การขับซิกแซกฝ่าการจราจรที่ติดขัดเป็นไปได้ อย่างรวดเร็วและคล่องตัว แต่ช่วงล่างที่เกาะถนนหนึบกับเครื่องยนต์ที่จัดจ้าน กลับถูกทำให้เสียอารมณ์กับน้ำหนักของพวงมาลัยที่รู้สึกว่าจะเบาเกินไปในการ ขับขี่ด้วยความเร็วสูง ทั้งยังขาดความแม่นยำ ยังกับเป็นร่างทรงของ Mazda BT50 ยังไงยังงั้น อย่างไรก็ตามหากขับจนชินมือแล้วก็ไม่เป็นปัญหาอะไร สิ่งที่ประทับใจอย่างมากคือ รถคันนี้ประหยัดน้ำมันกว่า Honda CRV และ Subaru XV
มาถึงบทสรุป ถ้าหากจะเลือกซื้อต้องมาดูที่ราคาโดยที่
Honda CRV 2.0E มีราคา 1,274,000 บาท
Subaru XV 2.0i Premium ราคา 1,350,000 บาท
Mazda CX5 2.0s ราคา 1,300,000 บาท
หากดูที่ตัวรถ ถ้าต้องการรถครอบครัวอเนกประสงค์ใช้ชีวิตประจำวันในเมือง นั่งสบาย ก็เลือกไปที่ Honda CRV หากต้องการอารมณ์สปอร์ต เอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร ก็ไปที่ Subaru XV หากต้องการอัตราเร่งจัดจ้าน อัตราบริโภคน้ำมันไม่สิ้นเปลือง ก็ไปที่ Mazda CX5
หากจะเลือก Honda ศูนย์บริการและอะไหล่ก็มีอย่างแพร่หลาย ทั้งยังราคาค่าตัวถูกกว่าทั้ง Subaru และ Mazda สิ่งที่ด้อยกว่าก็หาของแต่งมาเพิ่มประสิทธิภาพได้ไม่มีปัญหา หากเลือกไปที่ Subaru ก็ต้องทำใจเรื่องศูนย์บริการและอะไหล่ที่มีน้อย และการที่รถมีความแตกต่างจากชาวบ้านชาวช่องเขา อย่างการใช้เครื่องลูกสูบนอน ยังสร้างความยุ่งยากในการซ่อมแซมและบำรุงรักษา ทั้งเกียร์ CVT ก็ยังเปราะบาง ถ้ามีนิสัยชอบตะบี้ตะบัน เหยียบคันเร่ง คงต้องได้ซ่อมเกียร์บ่อยหน่อย แต่ Subaru เป็นรถที่ขับสนุกที่สุด หากหวังความมันส์ในการขับขี่แล้วซื้อไปไม่ผิดหวัง ส่วน Mazda มีศูนย์บริการมากอยู่พอสมควร อะไหล่ถึงไม่แพร่หลายก็ไม่ได้หายากอะไร สมรรถนะของรถจัดว่าดี ขับสนุก ถ้าต้องการเดินทางสายกลางระหว่างความมันส์ กับประโยชน์ใช้สอย คันนี้ก็ใช่เลย
อ่านต่อภาค2
Dead or Alive กับ MG6 Version ไทย
MG แบรนด์รถยนต์จากอังกฤษที่ห่างหายจากวงการมานานแสนนาน ในปี 2014 นี้ ได้มาบุกตลาดในประเทศไทยโดยกลุ่มทุน CP ของไทยและกลุ่มทุน SAIC จากจีน เน้นเจาะตลาด รถยนต์ C+D-Segment โดยวางตัวไว้ระหว่าง รถเก๋งซีดาน C-Segment (Honda Civic, Toyota Corolla Altis, Mazda 3) กับรถ D-Segment (Honda Accord, Toyota Camry, Nissan Teana) ซึ่งคู่แข่งแต่ละรายล้วนเป็นคู่แข่งที่หินพอสมควร ซึ่งจะว่าไปแล้วเปรียบเทียบกับคูแข่งเรียกว่า MG6 นั้นไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นกว่าเลยแม้แต่น้อยนอกจากจะโฆษณาว่าเป็นรถยุโรป เป็นแบรนด์จากอังกฤษ ซึ่งคนที่ไม่เคยรู้กิตติศัพท์ของแบรนด์นี้ ก็คงคิดไปถึงรถหรูอย่าง Jaguar, Land Rover, Bentley อะไรไปโน่น แต่จริงๆภาพลักษณ์ของ MG ในประเทศต้นกำเนิดอย่างประเทศอังกฤษเองยังตีค่าแบรนด์ MG ไว้ต่ำกว่ารถญี่ปุ่นด้วยซ้ำ แถมยังเป็นยี่ห้อที่ขาดความน่าเชื่อถือแบบสุดๆ ถ้าคนที่ไม่ชาตินิยมจริงๆ คงไม่ซื้อ ลองมาดูราคาแต่ละรุ่นที่มาขายในประเทศไทยกัน
รุ่น Fastback
1.8X Turbo DCT ราคา 1,108,000 บาท
1.8D Turbo DCT ราคา 968,000 บาท
1.8X Turbo Sunroof DCT ราคา 1,128,000 บาท
1.8D Turbo Sunroof DCT ราคา 988,000 บาท
รุ่น Sedan
1.8X Turbo DCT 1,098,000 บาท
1.8D DCT 898,000 บาท
1.8C DCT 848,000 บาท
1.8X Turbo Sunroof DCT 1,118,000 บาท
1.8D Sunroof DCT 918,000 บาท
โอ้โห อะไรจะปานนั้น ลองมาเทียบกับเจ้าตลาดกันดู
All New Honda Civic
รุ่น 1.8S MT 780,000 บาท
รุ่น 1.8S AT 835,000 บาท
รุ่น 1.8E AT 895,000 บาท
รุ่น 1.8ES AT 950,000 บาท
รุ่น 1.8E AT Navi 990,000 บาท
รุ่น 2.0ES AT Navi 1,145,000 บาท
ราคาใกล้เคียงกันแบบนี้คนไทยก็คงหาคำตอบได้ไม่ยากแล้วล่ะครับว่าจะเลือก อะไร ลองมองหาเหตุผลที่ MG6 จะเอาชนะคู่แข่งกันบ้าง เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกต้องถือว่าไม่ผ่าน ดูเป็นรถจีนซะขนาดนั้น แถมดูไปดูมาดันไปคล้าย Proton รถเพื่อนบ้านมาเลเซียของเรานี่เอง option ที่ได้ก็ลองไปกางโบรชัวร์เทียบกับคู่แข่งดูเลย ไม่มีอะไรวิเศษวิโสกว่ามากมายนอกจากหลังคา Sunroof กับประเทศที่ร้อนตับแล่บอย่างไทยเนี่ยนะ การตกแต่งภายในถือว่าดูดีค่อยมีคะแนนตีตื้นขึ้นมาหน่อย ซึ่งดูเรื่องภาพลักษณ์ ความคุ้มค่า กับ option แล้ว ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะไปสู้กับแบรนด์ตลาดได้ยังไง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมาสู้กันที่เครื่องยนต์และสมรรถนะกันแล้วล่ะ ซึ่งก็ได้ข้อสรุปมาว่า เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร เทอร์โบ 161 แรงม้า นั้นให้อัตราเร่งใกล้เคียงกับ Ford Focus 1.6 Ecoboost คือ 0-100 ภายใน 8.8 วินาที ก็ถือว่าดีสำหรับรถซีดาน แต่เครื่องยนต์ยังกินน้ำมันจุอยู่ด้วยเทคโนโลยีสมัยพระเจ้าเหาของเครื่อง K-Series ที่ยกมาจาก Rover ถึงแม้จะผลิตมาจากอลูมิเนียม โดยอ้างว่าจะช่วยลดน้ำหนักให้เบาขึ้น แต่ความแข็งแกร่งยังคงเดิม แต่น้ำหนักโดยรวมยังแอบหนักกว่าคู่แข่งอยู่อีก ที่เป็นจุดแข็งของ MG6 จริงๆ นั้นจะเป็นสมรรถนะการทรงตัว การควบคุม และช่วงล่าง อาจจะเป็นเพราะรถมีความสูงจากพื้นต่ำ และยางแก้มเตี้ย แต่กระนั้นก็ยังสามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนโดยไม่รู้สึกว่ากระด้างเกินไป พวงมาลัยคมและแม่นยำน้ำหนักดี เข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ ตัวถังไม่โคลงมากเวลาเข้าโค้งด้วยความเร็ว
ดังนั้นจะสามารถสรุปได้ว่าตัวรถนั้นเทียบกับคู่แข่งแล้ว อัตราเร่งดี แต่ยังมีเทอร์โบแล็คอยู่ และยังไม่ประหยัด ช่วงล่างและการควบคุมดีกว่าชัดเจนถ้าเทียบกับ Honda Civic, Toyota Altis พอๆกับ Ford Focus, Chevrolet Cruze, Mazda 3, Mitsubishi Lancer EX หรืออาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ มีแอบใกล้เคียง BMW Series 3 แต่ก็ยังด้อยกว่านิดนึง ซึ่งถ้าจะมโนบุคลิกการขับขี่ของช่วงล่างจะรู้สึกว่าคล้าย Lancer EX มากที่สุด ซึ่งสิ่งที่เอาไปต่อกรกับคู่แข่งได้ก็คือช่วงล่างนี่เอง ดูแล้วสิ่งที่จะทำให้ MG อยู่รอดในตลาดในระยะสั้นก็คือ การโฆษณา แคมเปญ โปรโมชั่น ในระยะยาวก็คือ บริการหลังการขาย ถ้าทำตรงนี้ได้ดี MG ก็อาจจะทำยอดขายแซงบางยี่ห้อที่ศูนย์บริการแย่ก็ได้
ใครสนใจ MG6 สามารถอ่าน Full Review ของ Autocar UK ได้ตามลิ้งค์นี้
http://www.autocar.co.uk/car-review/mg-motor/mg6
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)