รูปลักษณ์ภายนอก
Isuzu MU-X 3.0 4WD |
ท้าย MU-X |
ภายใน
ภายใน Isuzu MU-X |
สมรรถนะเครื่องยนต์และอัตราเร่ง
ถือว่าเป็นไฮไลท์ของการรีวิวในครั้งนี้ เพราะอยากรู้ว่ามันจะทำได้ 8.9 วินาที ในการเร่ง 0-100 อย่างที่โม้ไว้รึเปล่า เครื่องยนต์ของรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นตัวเดียวกับที่ใช้ในรุ่น 3.0 ลิตร ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง ให้แรงม้า 177 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 380 นิวตัน/เมตร ที่ 1,800-2,800 รอบต่อนาที น้ำหนักเพิ่มขึ้นจากรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังเป็น 2,100 กิโลกรัม หนักกว่าร่วม 100 กิโลกรัม แต่จะออกตัวดีกว่าถ้าปรับระบบขับเคลื่อนไปที่ 4H เพราะ MU-X รุ่นขับเคลื่อนล้อหลังถ้าเหยียบจมล้อหลังจะมีการหมุนฟรีทำให้เสียระยะไป ระบบ TCS ป้องกันล้อหมุนฟรีของมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยเหมือนมีไว้ทำเท่ห์เท่านั้นหรืออาจจะเป็นเพราะรุนแรงกับคันเร่งมากเกินไปคือมาถึงก็เหยียบลงไปแบบ 100% เลย จึงเปลี่ยนมาค่อยๆ เหยียบคันเร่งให้มันไต่ระดับความเร็วไปตามปกติจึงทำให้ได้ตัวเลข 11 วินาที รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อปรับระบบไปที่ 4H จะถ่ายพละกำลังจากล้อสู่พื้นได้ดีกว่าแต่อย่างไรก็ตามมันทำได้ไม่ถึง 8.9 วินาทีหรอกถ้าจับเวลาแบบไม่ลำเอียงจะได้ที่ 10.2 วินาที ให้เจ้าตัวมาขับเองก็ทำได้ประมาณนี้ ซึ่งถือว่าเร็วที่สุดในรถตลาดกลุ่มเดียวกันแล้วในตอนนี้ ออกตัวเร็วกว่า Fortuner 4WD ซะอีก แต่ความรู้สึกมันจะอืดกว่าเพราะคันเร่งของ MU-X มันจะหน่วงกว่า ซึ่งถ้าเป็นช่วงความเร็วต้นสุดๆ ไปเลยอย่าง 0-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คงเป็น Fortuner ที่ทำได้ดีกว่า น่าเสียดายที่ไม่ได้ลองจับ Drag 1,000 เมตรแข่งกันว่าใครจะเร็วกว่า อัตราเร่งยืดหยุ่น 80-120 Isuzu MU-X 3.0 4WD ทำได้ 8.7 วินาที เร็วกว่าทั้ง Pajero Sport กับ Fortuner รุ่นขับสี่ ส่วนความเร็วสูงสุดที่ทำได้คือ 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่แน่ใจว่า Isuzu ล็อคจำกัดความเร็วรถไว้ที่ 185 รึเปล่า เพราะก่อนถึง 185 มันก็ไหลขึ้นไปดีอยู่แต่จู่ๆ พอมาถึง 185 ก็ตันไปดื้อๆ สุดที่เท่านี้ เป็นแบบนี้กับรุ่นขับสองล้อหลังเหมือนกัน หรือเป็นเพราะสุดลิมิตเครื่องยนต์จริงๆ แต่ก็ไม่ลองต่อแล้วเพราะเจ้าตัวกลัวรถจะพังคาตีนไปซะก่อน ซึ่งสมรรถนะเพียงเท่านี้ก็บอกได้ว่าเยี่ยมแล้ว ส่วนอัตราประหยัดน้ำมันนั่งรถ 2 คน เปิดแอร์ เปิดวิทยุ ขับที่ช่วงความเร็ว 80-110 กิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยโหมดขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง 2H ทำได้ 12.195 กิโลเมตรต่อลิตร ก็อยู่ในระดับของ PPV ทั่วไป
ช่วงล่าง ระบบรองรับ
ช่วงล่างเซ็ตมาให้นุ่มนั่งสบาย ซึ่งถ้าเป็นผู้โดยสารก็คงจะชอบ พวงมาลัยตอบสนองดี น้ำหนักดี สัมพันธ์กับความเร็ว จะคล้ายกับพวงมาลัยของ Chevrolet Trailblazer แต่เบากว่านิดหน่อย สำหรับความย้วยที่เกิดขึ้นกับรุ่นขับหลัง พอมาเป็นรุ่นขับสี่มันมีมาให้ได้สัมผัสน้อยลง การเกาะถนนของช่วงล่าง ไหนๆก็มีระบบขับสี่ Part-Time ให้ใช้กันอยู่แล้วก็ใช้มันซะให้คุ้ม เพราะถ้าปรับระบบขับเคลื่อนไปที่ 4H มันจะเกาะถนนและหนึบแน่นกว่ามาก สำหรับรถคันนี้ถ้าต้องการความหนึบควรจะปรับไปที่ขับสี่ 4H ไม่ว่าถนนจะแห้งหรือจะเปียกก็ตาม ไม่ต้องไปใช้ 2H ถ้าขับรถเร็วเพราะมันไม่ให้ความรู้สึกว่าเกาะถนนดีซักเท่าไหร่ การใช้ระบบขับสี่อาจจะทำให้เปลืองน้ำมันขึ้นเล็กน้อย แต่ก็มั่นใจกว่าในยามใช้ความเร็วสูง ยางมาตรฐานจากโรงงานขนาด 255/65 R17 ก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีเสียงจากการเสียดสีกับพื้นถนนไม่ดังมากจนเกินไป ขึ้นอยู่กับว่าต้องการใช้งานแบบไหนถ้าต้องการให้รีดน้ำได้ดีก็เติมลมให้แข็งกว่าปกติเล็กน้อย สำหรับการใช้งานแล้วยางเส้นนี้ไม่ส่งผลต่อสมรรถนะเท่าไหร่ และคิดว่าล้อและยางจากโรงงานก็ลงตัวดีอยู่แล้ว ถ้าอยากจะเปลี่ยน ก็เปลี่ยนแค่ยี่ห้อที่ใช้แต่ไม่เปลี่ยนขนาดจะดีกว่า เห็นบางคนไปเปลี่ยนล้อเปลี่ยนยางใหญ่ขึ้นเสียตังค์เป็นหลักหมื่น แล้วส่งผลสมรรถนะแย่ลง กินน้ำมันมากขึ้น แถมทำเข็มไมล์เพี้ยน นี่มันน่าตลกเป็นบ้า คือทำแค่ให้มันเท่ห์ แต่ใช้งานใช้การจริง ไม่มีประโยชน์ ไร้แก่นสารแบบสุดๆ ที่ถูกต้องคือการเปลี่ยนอะไหล่หลายๆ ชิ้นมันต้องเริ่มขึ้นจาก สมรรถนะเครื่องยนต์ที่เปลี่ยนแปลงไปถึงต้องขยับอะไหล่ส่วนต่างๆ ให้รองรับกับสมรรถนะที่เพิ่มขึ้น แต่บางคนก็มองข้ามจุดนี้ไปอย่างไม่น่าให้อภัย ซึ่งถ้ามีลูกมีหลานเอาเงินไปแต่งแบบไร้ประโยชน์แบบนี้ ผมคงด่ากราดไปแล้ว แต่งรถทั้งทีควรแต่งให้สมรรถนะมันดีขึ้นคุ้มกับเงินที่เสียไปซะบ้าง เสียตังค์หลักหมื่นแรงม้าไม่เพิ่มก็อย่าทำซะจะดีกว่า ถ้าแค่อยากจะเท่ห์ให้คนอื่นหันมามอง คนอื่นที่ว่ามันก็ไม่ได้เป็นคนที่ให้ตังค์คุณใช้ ให้ข้าวคุณกินซะหน่อย ไม่ได้มีผลประโยชน์และความคุ้มค่าใดๆ เลย พอกันทีบ่นมาซะเยอะต้องขอโทษด้วย ขอจบด้วยการสรุปเลยละกัน
สรุป
รุ่น 3.0 ลิตรขับเคลื่อนสี่ล้อเป็น MU-X รุ่นที่ลงตัวที่สุดแล้ว อัตราเร่ง 0-100 น่าจะดีที่สุดในตลาด ถ้าไม่มีรถรุ่นใหม่หรือ Minorchange จากบางค่ายออกมาในช่วงนี้ ช่วงล่างจะเกาะถนนดีหนึบแน่นเมื่อใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น อัตราประหยัดน้ำมัน และการใช้งานทั่วไป อยู่ในระดับ Average คือ ไม่ดีไม่แย่ อยู่ในระดับปานกลาง ก็ยังเป็นรถที่น่าซื้อหามาใช้อยู่ อีกอย่างคือรถคันที่ลองเป็นรถล็อตเก่าปี 2013 ราคาจะถูกกว่าที่ 1,389,000 บาท ส่วนล็อตใหม่ปี 2014 มีราคาแพงกว่าที่ 1,419,000 บาท ซึ่งรายละเอียดหลักๆ ก็เหมือนเดิม กับล็อตปี 2013 ทุกอย่าง ที่ไม่เหมือนก็คงเป็นรายละเอียดปลีกย่อยอีกเพียงเล็กน้อย และเป็นรถที่ผลิตทีหลังเท่านั้นจึงมีราคาแพงกว่า เพราะมันสดใหม่ออกจากสายพาน กินกันร้อนๆ หอมกรุ่น ตอนออกจากเตา (ไม่ใช่ละ LoL) ก็คือซื้อตอนนี้ราคาป้ายแดงมันก็อยู่ที่ 1,419,000 บาท นี่แหละ ไม่มี 1,389,000 บาท อย่างเมื่อก่อนแล้ว อยากซื้อก็ไปถามรายละเอียดจากเซลล์ Isuzu เลย จะได้ข้อมูลที่อัปเดตมากกว่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น