วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Land Rover Freelander 2 เจ้าฮิปโปจอมลุย

Land Rover Freelander ออกวางขายมา 2 รุ่นแล้ว รุ่นแรกรู้สึกจะยังไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ แต่ด้วยราคาที่ถูกกว่ารถ Land Rover ทุกรุ่น ทำให้คนที่อยากได้รถยี่ห้อนี้ แต่ไม่มีปัญญาซื้อรุ่นที่แพงกว่า ก็หันมาซื้อรถรุ่นนี้กันบ้าง เพราะในตอนนั้น Freelander 1 มีราคาเริ่มต้นที่ 2.12 ล้านบาทเท่านั้น เพราะรุ่นนั้นมีผลิตโรงงานที่ระยองด้วย และตอนนั้น Land Rover ยังอยู่ในเครือ BMW อยู่ เห็นได้ชัดว่า Land Rover ต้องการให้รถรุ่นนี้อยู่ในระดับใกล้เคียงตลาดระดับ Mass มากขึ้น (เฉพาะประเทศไทย) แต่กับรุ่นนั้นมันก็ยังมีอะไรไม่ลงตัวมากมาย ทั้งสมรรถนะที่ด้อยกว่า และเปลืองน้ำมันกว่ารถในระดับราคาเดียวกัน อาการเบรกหัวทิ่ม และกระตุกเวลาถอนคันเร่ง รู้สึกว่า Land Rover เมื่ออยู่กับทั้ง Ford กับ BMW จะไม่ค่อยรุ่งเลย ทั้งคู่ได้แต่กอบโกยผลประโยชน์โดยอาศัย Land Rover ทำงานหนักให้ โดยสิ่งที่ Land Rover ได้มีเพียงเครื่องยนต์กากๆ ที่ BMW มอบให้ ถึงมันจะดีกว่าเครื่องยนต์ของ Land Rover เองก็เถอะ แต่เครื่องยนต์ M47R ดีเซล 2.0 ลิตร ที่ BMW ทำให้กับ Land Rover ไม่ได้นับว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ดีที่สุด เห็นได้จากการที่ BMW ไม่เคยนำเครื่องยนต์ตัวนี้ไปใช้กับ SUV ของตัวเองเลย แต่กลับใช้เครื่อง M47TUD20 และ M47TU2D20 กับ BMW X3 แทน จนปัจจุบัน BMW X3 ไปใช้เครื่อง N47 แล้ว นั่นแหละเครื่องที่ดีที่สุดมันต้องกั๊กไว้ให้ SUV ของ BMW เท่านั้น ซึ่งก็เป็นธรรมดาของวงจรธุรกิจ ใครมันจะอยากให้รถบริษัทลูกมาแข่งกันเองกับรถในบริษัทแม่ ก็ดีแล้วที่แยกทางกันซะได้แล้วออกรุ่น Freelander 2 มาตั้งแต่ปี 2006 โดยเจ้าของในตอนนั้นคือ Ford แล้วเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ Duratorq 2.2 ลิตร ก็นับว่าขจัดจุดอ่อนของ Freelander รุ่นเดิมไปจนหมดสิ้น แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่สำหรับภาพรวมของรถ Land Rover ต่อมา Ford จึงได้ขายให้กับ Tata Motors ของ India ในปี 2008 ซึ่งหลังจากมาอยู่กับ Tata แล้วรู้สึกอะไรๆ มันจะดีขึ้น สำหรับ Freelander 2 คันนี้ถึงแม้จะย้ายไปอยู่ Tata ก็ยังใช้ Platform และเครื่องยนต์จาก Ford อยู่เพราะ ตามสัญญา Tata มีสิทธิ์ใช้เครื่องยนต์ของ Ford ไปจนถึงปี 2019 และที่จะพูดถึงต่อจากนี้ก็คือ Land Rover Freelander 2 SD4 HSE ราคา 3,999,000 บาท เริ่มจาก
รูปลักษณ์ภายนอก
Land Rover Freelander 2
ท้าย Freelander 2
สร้างขึ้นจากพื้นฐานของ Ford EUCD Platform รถที่ใช้ Platform นี้ร่วมกันได้แก่ Ford Mondeo, Volvo XC60, Volvo S80, Jaguar X-Type และญาติสนิท Range Rover Evoque นั่นเอง แต่ Evoque ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง Platform ของ Ford ไปถึง 90% สำหรับ Freelander 2 มีมิติตัวถัง ยาว*กว้าง (พับกระจก)*สูง เท่ากับ 4,500*2,005*1,740 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,660 มิลลิเมตร อ็อปชั่นภายนอกก็มี กระจกกรองแสง ไฟหน้าแบบ Bi-Xenon ไฟโปรเจกเตอร์ ไฟส่องสว่างอัตโสมัติ ปัดน้ำฝนกระจกหน้าอัตโนมัติ ระบบควบคุมระยะการจอด หน้า-หลัง ล้อแม็ก 18 นิ้ว ดีไซน์ภายนอกออกแนวสมบุกสมบันมากกว่า Evoque แต่ก็ไม่ถึงกับลุยเต็มขั้นแบบ Land Rover Defender คือขับชิลๆ ในเมืองก็ยังมีความหรูความสำอางค์ให้เห็นอยู่ระดับหนึ่ง

ภายใน
ภายใน Freelander 2
ตกแต่งด้วยคุณภาพวัสดุที่อยู่ในเกณฑ์ดี แต่ปุ่มใช้งานบางอย่างดูค่อนข้างจะรกหูรกตาไปหน่อย เบาะนั่งนั่งสบายดี เข้า-ออก ห้องโดยสารได้อย่างสะดวก มีความโอ่โถงโปร่งสบาย ต่างจาก Freelander 1 ที่จะดูอึมครึมอึดอัด เรียกว่าออกแบบภายในได้ดีกว่ารุ่นเดิมมาก อ็อปชั่นภายในที่น่าสนใจได้แก่ กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ เบาะคนขับปรับสูงต่ำได้ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังปรับระดับได้ ระบบนำทาง แอร์อัตโนมัติพร้อมระบบกรองอากาศ แอร์ที่นั่งแถวหลัง กระจกนิรภัย เบาะหลังพับได้ ระบบ Cruise Control

สมรรถนะเครื่องยนต์และอัตราเร่ง
เครื่องยนต์ Duratorq 2.2 ลิตร SD4 ดีเซล ให้พละกำลัง 190 แรงม้าที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิด 420 นิวตัน/เมตร ที่ 1,750 รอบต่อนาที คล้ายกับที่ใช้ใน Evoque เครื่องยนต์ตัวนี้ส่ง Freelander 2 ที่มีน้ำหนัก 1,805 กิโลกรัม เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 9.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 14.29 กิโลเมตรต่อลิตร ถังน้ำมันความจุ 68 ลิตร ก็เพียงพอให้รถขับไปได้ไกล 971.72 กิโลเมตร อัตราการปล่อยไอเสียของรถคันนี้อยู่ที่ 185 กรัมต่อกิโลเมตร ถือว่าสมรรถนะดี อัตราประหยัดน้ำมันก็น่าพอใจ Freelander 1 เทียบไม่ติดเลย ถึงแม้มันจะช้าและเปลืองกว่า Evoque ก็ตาม แต่มันก็สมเหตุสมผลอยู่เพราะใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกันแต่ Freelander 2 น้ำหนักมากกว่า แต่การตอบสนองของคันเร่งและเกียร์ก็ดีและลื่นไหลพอๆ กับ Evoque ไม่เหมือนตอนอยู่กับค่าย BMW ที่ Freelander 1 ทั้งเกียร์และคันเร่งตอบสนองได้ห่วยแตก เรียกว่ารุ่นปัจจุบันต่างกับรุ่นก่อนหน้านี้ราวกับเทวทูตเทียบกับสัมภเวสีชั้นต่ำ

ช่วงล่าง ระบบรองรับ
นับเป็นจุดเด่นของรถคันนี้เลยก็ว่าได้ บอกได้เลยว่ามันลงตัวกว่า BMW X3  ช่วงล่างนิ่งสนิทไม่ว่าจะวิ่งแบบ on หรือ off road การเกาะถนนในการขับบนไฮเวย์ก็ทำได้ดีสามารถเข้าโค้งยาวๆ ด้วยความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างมั่นใจ แต่ยังไม่ตัวเบาพริ้วไหวเท่า Evoque ยิ่งไปวิ่ง off road ด้วยแล้วมันสามารถทุบ BMW X3 เละเป็นขี้ได้เลย เพราะเมื่อปรับโหมด off road วิ่งในทางทุรกันดารตามโขดหินหรือป่าเขาแล้ว มันสามารถแล่นไปได้อย่างชิลๆ เมื่อเจอลูกระนาด หรือก้อนหินก้อนเป้งๆ บนถนนลูกรัง มันก็ยังวิ่งผ่านได้แบบนิ่งๆ ไม่สะทกสะท้านเลย เรียกว่าขับ off road ได้เยี่ยมยิ่งกว่า Evoque ที่ปรับโหมด Terrain Response ขับแบบ off road แล้วยังมีกระเด้งอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังนับว่าน้อยมาก ซึ่งช่วงล่างสำหรับการขับ off road มันค่อนข้างจะปรับให้ลงตัวได้ยากกว่าขับถนนปกติ เพราะถ้าปรับผิดมันก็ส่งผลให้รู้สึกได้อย่างชัดเจน หากนิ่มไปมันก็เต้นย้วย หากกระด้างไปมันก็กระแทกกระทั้นจนกระเด้งได้ ตัวอย่างการปรับช่วงล่างที่ลงตัวสำหรับการขับ off road ก็คือ Freelander 2 คันนี้แหละ ที่ปรับจนไม่มีอาการเหล่านั้นเกิดขึ้นเลยไม่ว่าเส้นทางจะอุบาทว์อัปรีย์แค่ไหน ก็ไม่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อรถคันนี้เลย ระบบ Terrain Response ปรับการกระจายแรงบิดให้เหมาะสมกับสภาพพื้นถนน มีให้เลือก 3 แบบ Gravel ใช้ลุยไปบนกรวด Mud ใช้ลุยโคลน Sand ใช้ลุยทราย รู้สึกว่าโหมด Gravel จะขับได้มันส์สะใจที่สุดเมื่อขับบนถนนลูกรังแถบชนบท ช่วงโอเวอร์แฮงค์หน้าสั้นช่วยในการขับขึ้นลงเนินได้ง่าย มองเห็นสิ่งกีดขวางบนพื้นถนนใกล้ท้องรถได้ดี พวงมาลัยรู้สึกเบาเล็กน้อยแต่ไม่ทำให้รู้สึกเสียความมั่นใจยามใช้ความเร็วสูง

สรุป
ขับถนนลาดยางมะตอยได้ดีแต่ก็ยังไม่เท่า Evoque แต่ก็ชดเชยด้วยสมรรถนะการขับ Off Road ที่เหนือกว่า น่าเสียดายที่มันมีราคาแพงเกินไป ซึ่งในระดับราคาเดียวกันมีตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่ารออยู่มากมาย

แก้ไขปัญหาระบบไฟฟ้าใน Freelander 2: Land Rover Freelander 2 Wiring Diagram

1 ความคิดเห็น: