วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

รีวิว Toyota Harrier (XU60) Gen.3

Toyota Harrier Generation ที่ 3 นี้ออกวางตลาดในบ้านเรามาได้ปีสองปีกว่าแล้วโดยผู้นำเข้าอิสระ โดยที่ Gen.3 นี้ Toyota Harrier เพิ่งจะมีตัวตนเป็นของตัวเองเป็นครั้งแรก โดย 2 รุ่นก่อนหน้า มันเป็นการเอา Lexus RX มาแปะโลโก้ Toyota ทำเป็น Toyota Harrier แล้วขายในราคาถูกลงนั่นเอง โดยที่สเป็กเครื่องยนต์ และออปชั่นต่างๆ เหมือนกันเป๊ะ แล้วแบบนี้มันจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องซื้อ Lexus ที่สิ่งที่จะได้กลับมามันก็แค่การได้ชื่อว่าซื้อรถแบรนด์หรูซึ่งหาผลประโยชน์ทางเศรษฐศาสตร์ไม่ได้เลย 2 รุ่นก่อนหน้า คนก็เลยนิยมซื้อ Harrier มาแปะตราของ Lexus กันยกใหญ่ ดูไม่ออกเลยอันไหน Lexus RX จริง หรืออันไหน Toyota Harrier แปะตรา แต่จะจริงหรือแปะ มันก็รถคันเดียวกัน ซึ่งครั้งนี้ผมชื่นชมคนที่ซื้อรถมาแปะตรามากกว่าเพราะว่าซื้อรถมาในราคาถูกแต่ได้คุณภาพเท่าๆ กัน ก็อย่างว่าในเมื่อทุกอย่างมันเหมือนกันจะจ่ายแพงกว่าไปซื้อ Lexus ตัวจริงมันทำไม จริงๆ Lexus RX (3.94-7.09 ล้านบาท) มันก็ราคาแพงเกินคุณภาพที่แท้จริงอยู่แล้ว ราคาต้องอยู่ในระดับ Toyota Harrier ต่างหากถึงจะเหมาะสม เพราะราคาที่แพงเวอร์มันเป็นสาเหตุมาจากตรา Lexus แค่นั้นเอง แต่ก็ดีแล้วที่แยกรถทั้งสองคันนี้ออกจากกันไปซะที ไม่งั้นมันก็กินกันเองอยู่แบบนี้ จริงๆ ตัวแทนจำหน่าย Toyota ไม่นำเข้ามาหรอกไอ้ Toyota Harrier เนี่ย เพราะก็กลัวว่ามันจะไปทับกับ Lexus RX นี่แหละ ต้องขอบคุณผู้นำเข้าอิสระจริงๆ ที่ทำให้ได้ใช้รถแบบเดียวกันในราคาที่ถูกกว่า เอาล่ะเรามาดูเจ้า Harrier Gen.3 นี้ดีกว่าว่ามันมีอะไรบ้าง

รูปลักษณ์ภายนอก
Toyota Harrier

ท้าย Toyota Harrier
เส้นสายมีความโค้งมนและมีเหลี่ยมสันที่ลงตัว ดูหรูหรากว่า Toyota Fortuner อย่างที่มันควรจะเป็น และมีความอ่อนช้อยงดงามมากกว่า Toyota Land Cruiser Prado ออปชั่นภายนอกต่างๆ ไม่จำกัดตายตัว เพราะจำหน่ายโดยผู้นำเข้าอิสระ ออปชั่นต่างๆ สามารถเปลี่ยนแปลงกันได้ตลอด แล้วแต่ว่าจะซื้อจากใคร

ภายใน
ออปชั่นก็ไม่ตายตัวเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ก็จะตกแต่งภายในด้วยลายไม้ ดีไซน์อุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ ดูย้อนยุคไปหน่อย แต่จะเรียกว่าโบราณคร่ำครึก็ไม่ใช่ เรียกว่าเป็นความ Classic อย่างมีสไตล์ แบบ Retro จะดีกว่า เพราะมันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกเหมือนนั่งในรถรุ่นเก่าเลย ออปชั่นที่ควรจะต้องมีเป็นมาตรฐานก็คือ แอร์ดิจิตอล พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น เบาะหนังแท้ปรับไฟฟ้า เซ็นเซอร์ช่วยจอด นอกนั้นก็ระบบความปลอดภัยทั่วไปที่รถปกติต้องมีอยู่แล้ว
ภายใน Harrier
สมรรถนะเครื่องยนต์และอัตราเร่ง
Toyota Harrier ที่มีจำหน่ายในไทยมีอยู่ 2 ขุมกำลังหลัก คือ เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ รหัส 3ZR-FAE ให้แรงม้า 151 แรงม้าที่ 6,100 รอบต่อนาที แรงบิด 193 นิวตัน/เมตร ที่ 3,800 รอบต่อนาที ราคาเปิดตัวของรุ่นนี้อยู่ที่ 2,850,000 บาท แต่เท่าที่เห็นตอนนี้ ราคา 2.39 ล้านบาทก็มีขายเหมือนกัน ส่วนอีกรุ่นหนึ่งก็คือรุ่นไฮบริดที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร 4 สูบ 152 แรงม้า ทำงานร่วมกับระบบไฮบริด ขับเคลื่อนสี่ล้อด้วยไฟฟ้าเรียกว่าระบบ E-Four รวมแรงม้าทั้งระบบได้ 197 แรงม้า ราคาเปิดตัวของรุ่นนี้อยู่ที่ 2,990,000 บาท แต่ในตอนนี้ ราคา 2.5 ล้านบาทก็น่าจะมีขาย สำหรับความรู้สึกในการทำอัตราเร่งของรถคันนี้นั้นเรียกว่าให้ความรู้สึกไม่ต่างกันทั้งในรุ่นเบนซิน 2.0 ลิตร และรุ่น 2.5 ลิตร ไฮบริด ตัวเลขจับเวลาอย่างคร่าวๆ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ไม่น่าจะพ้น 10 วินาทีลงมาได้ จะทำกี่ครั้งลองกี่แบบก็ใช้เวลามากกว่า 10 วินาทีอยู่ดี สำหรับรุ่นเบนซิน 2.0 ลิตร อย่าไปเอาตัวเลขมั่วๆ ที่ทำได้ 7.8 วินาที ของ Version Lexus RX450h มาเทียบ เพราะรายนั้นใช้เครื่องยนต์ V6 3.5 ลิตร ต่างกับ Toyota Harrier โดยสิ้นเชิง ส่วนรุ่น 2.5 ลิตรไฮบริด ก็อืดพอกันสำหรับรถระดับนี้ เกียร์ทำงานได้อย่างน่าเบื่อมาก แต่ถ้าไปเทียบกับพวก Fortuner แล้วก็จะถือว่ามีอัตราเร่งที่ฉับไวกว่า อัตราประหยัดน้ำมันถ้าขับแบบเต็มที่เร่งสลับผ่อนบ้างมีช่วงความเร็วตั้งแต่ 80-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รุ่น 2.0 ลิตรจะทำได้ 13 กม./ลิตร และรุ่น 2.5 ลิตร ไฮบริด จะทำได้ 15 กม./ลิตร นี่แบบทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแล้วนะ ตัวเลขยังไม่ทิ้งห่างรุ่นเบนซินไร้ระบบไฮบริดเท่าไหร่ แต่รุ่นไฮบริดมีดีที่ใช้ไฟฟ้าขับก็ได้ซึ่งถ้าจะขับโหมดประหยัดจริงๆ มันสามารถทำได้ดีที่สุด 21.8 กม./ลิตร เลยเชียวนั่น

ช่วงล่างหรือระบบรองรับ
ออกแนวขับสบายมีความนุ่มสมูทมากเวลาวิ่งผ่านลูกระนาดก็ซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี การเกาะถนนและการทรงตัวถือว่าทำได้ดีสมกับระดับของรถ การวิ่งเป็นไปอย่างเงียบเชียบและผ่อนคลาย สามารถนั่งจิบกาแฟในรถได้โดยไม่ต้องกลัวหกราดใส่กางเกงหรือกระโปรง (สำหรับถนนไฮเวย์ปกติ ไม่มีหลุมบ่อ ลูกระนาด) ช่วงล่างจะลงตัวที่สุดเมื่อจับคู่กับล้อและยางขนาด 16 นิ้ว แต่ถ้าเป็นล้อและยางขนาด 17 นิ้ว จะมีเสียงดังจากการเสียดสีขึ้นมาหน่อย และขับได้ไม่นิ่มเท่า แต่จะได้ความหนึบแน่นที่เพิ่มมากขึ้น

สรุป
ควรศึกษาดีๆ ระหว่างรุ่นเบนซิน 2.0 ลิตร กับรุ่น 2.5 ลิตร ไฮบริด หากคุณไม่ขับรถไปไหนไกลก็ใช้รุ่น 2.0 ลิตร น่าจะเหมาะสมที่สุด แต่ถ้าหากเดินทางออกต่างจังหวัดบ่อยๆ หรือต้องจอดรถติดไฟแดงนานๆ รุ่นไฮบริด ก็น่าจะตอบสนองโจทย์การใช้งานได้ครอบคลุมกว่า และสุดท้ายอย่าลืมว่าใน Segment นี้ยังมี BMW X1 อยู่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น