วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การวิเคราะห์อาการเครื่องยนต์เบื้องต้น

ในการใช้งานรถยนต์หากสามารถวิเคราะห์อาการของเครื่องยนต์ได้ก็จะเป็นประโยชน์ในการใช้งานอย่างมาก บางท่านถึงขนาดศึกษาจนถึงขั้นเก่งกว่าช่างเลยก็มี แต่ที่จะมานำเสนอในครั้งนี้คงไม่ถึงระดับ Advance ขนาดนั้น โดยครั้งนี้จะเป็นการวิเคราะห์อาการอย่างคร่าวๆ เพื่อให้ตั้งสมมุติฐานได้ว่าชิ้นส่วนตัวไหนเสียแล้วจะได้ไปปรึกษาช่าง โดยแบ่งอาการเครื่องยนต์เป็นดังนี้

เครื่องยนต์สตาร์ทไม่ติด
มีระบบที่เกี่ยวข้องกับอาการนี้โดยหลักๆ ก็มีอยู่ 6 ระบบ ซึ่งสามารถส่งผลต่อการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ระบบเหล่านี้ คือ ระบบจ่ายไฟ ระบบเชื้อเพลิง ระบบจุดระเบิด ระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ ระบบสตาร์ทเย็น และสุดท้ายระบบดูดอากาศเข้า
ระบบจ่ายไฟ
หากข้อบกพร่องเกิดขึ้นในระบบนี้ ให้สันนิษฐานไว้ว่า เกิดการผิดปกติของหน้าสัมผัสของสวิทช์จุดระเบิด ซึ่งหน้าสัมผัสกาจจะสกปรกหรือมีข้อบกพร่องอย่างอื่นด้วย อีกสาเหตุหนึ่งก็คือรีเลย์หลักอาจจะไม่ทำงาน
ระบบเชื้อเพลิง
ความผิดปกติของระบบเชื้อเพลิง อาจเกิดจาก ไส้กรองน้ำมัน หรือท่อยางเกิดการอุดตัน หากเสียที่ตรงนี้ที่เดียวเปลี่ยนก็ราคาไม่กี่บาท, เรกกูเรเตอร์ควบคุมแรงดันน้ำมันผิดปกติอาจจะแรงดันตก ทำให้ความดันน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำเกินไป, สุดท้ายก็อาจจะเกิดจาก ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ทำงาน หรือหัวฉีดไม่ฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง
ระบบจุดระเบิด
ความบกพร่องของระบบนี้อาจเกิดจาก จานจ่าย คอยล์จุดระเบิด หรือตัวช่วยจุดระเบิด ไม่จ่ายไฟแรงสูง และก็อาจจะเกิดจากหัวเทียนไม่จุดระเบิดหรือกัวเทียนบอดนั่นเอง
ระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์
หากความผิดปกติเกิดขึ้นกับระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ อาจเกิดจาก จานจ่ายสัญญาณ G และ Ne ไม่ส่งสัญญาณไปยังกล่อง ECU หรือก็อาจจะเกิดจาก เซ็นเซอร์ความดันในท่อร่วมไอดี ที่เรียกกันว่าเซ็นเซอร์สุญญากาศ มีค่าความต้านทานหรือค่าแรงดันไฟฟ้าไม่ได้ตามที่กำหนดจนทำให้เกิดการขาดหรือลัดวงจร
ระบบสตาร์ทเย็น
สำหรับระบบนี้อาจเกิดจากหัวฉีดสตาร์ทเย็นไม่ฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง และสวิทช์หัวฉีดสตาร์ทเย็นไม่ทำงานตลอดเวลา
ระบบดูดอากาศเข้า
ให้เช็คดูว่าท่อนำอากาศรั่วหรือไม่ และก็อาจเกิดจากลิ้นอากาศไม่เปิดหรือเปิดแต่ไม่เต็มที่ได้เหมือนกัน

เครื่องยนต์สตาร์ทติดยาก
แบ่งเป็นสตาร์ทติดยากตอนเครื่องร้อน ตอนเครื่องเย็นเย็น และทั้งสองอย่าง
ตอนเครื่องร้อน
ให้เช็คระบบน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบดูดอากาศ และระบบสตาร์ทเย็น ว่าหัวฉีดรั่วหรือเปล่า เรกูเรเตอร์ความดันต่ำไปหรือเปล่า หัวฉีดสตาร์ทเย็นรั่วหรือเปล่า ลิ้นอากาศเปิดไม่เต็มที่หรือเปล่า
ตอนเครื่องเย็น
เช็คที่ระบบสตาร์ทเย็น หัวฉีดสตาร์ทเย็นอาจจะไม่ฉีดเชื้อเพลิงหรือสวิทช์ควบคุมหัวฉีดไม่ทำงาน เช็คระบบดูดอากาศเพราะลิ้นISC ลิ้นอากาศ อาจไม่เปิดหรือเปิดไม่เต็มที่ เช็คระบบควบคุมอิเล็ทรอนิกส์ว่าเซ็นเซอร์อุณหภูมิอากาศเข้ากับเซ็นเซอร์อุณหภูมิน้ำหล่อเย็น มีความเสียหาย หรือลัดวงจรหรือเปล่า
ทั้งร้อนและเย็น
เช็คระบบน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบดูดอากาศ ระบบสตาร์ทเย็น ระบบจุดระเบิด
ระบบน้ำมันเชื้อเพลิง อาจเกิดจากวงจร STA ของรีเลย์เปิดวงจรไม่ทำงาน กรองน้ำมันและท่อน้ำมันเชื้อเพลิงเกิดการอุดตัน
ระบบดูดอากาศ อาจเกิดจากลิ้นอากาศไม่เปิดเต็มที่
ระบบสตาร์ทเย็น หัวฉีดสตาร์ทเย็นอาจรั่วหรือไม่ฉีดน้ำมัน สวิทช์ควบคุมหัวฉีดสตาร์ทเย็นอาจไม่ทำงาน
ระบบจุดระเบิด เช็คดูหัวเทียนเพราะหัวเทียนอาจมีเขม่าจับมาก

และนี่ก็เป็นอาการทั่วไปที่พบได้บ่อยๆ หวังว่าข้อมูลเหล่านี้คงพอเป็นประโยชน์ได้บ้าง หากมีโอกาสครั้งหน้าอาจจะนำเสนออาการของเครื่องยนต์ที่ซับซ้อนขึ้นกว่านี้ สำหรับครั้งนี้ขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน แล้วเจอกันครั้งหน้า สวัสดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การดูแลรักษารถยนต์อย่างง่ายๆ ด้วยตัวท่านเอง

ทุกวันนี้ต้นทุนค่าครองชีพที่สูงขึ้นอาจจะสร้างปัญหาให้หลายๆ ครัวเรือนมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย และก่อให้เกิดปัญหาหนี้สินขึ้น หลายครั้งที่ได้พบเจอชาวบ้านตาดำๆ ที่ไม่มีอันจะกินแล้ว ใจก็อยากจะช่วยแต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไงเพราะขนาดตัวเองก็ยังแทบจะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน แต่สำหรับคนที่พอมีจะกินอยู่บ้าง มีรถยนต์ใช้ และต้องใช้รถคันนั้นไปนานๆ ผมมีวิธีดูแลรักษารถยนต์ให้ใช้ไปนานๆ มาแนะนำ เพราะว่าในตอนนี้ไม่รู้จะรีวิวรถอะไรดี ตอนแรกกะจะรีวิว Isuzu D-Max แต่มันก็เลยจุดที่จะนำมารีวิวได้แล้ว เพราะรถรุ่นนี้คนส่วนใหญ่ก็รู้ไส้รู้พุงมันดีอยู่แล้ว จะแนะนำการใช้งานและการบำรุงรักษา Isuzu D-Max แต่พอหาข้อมูลใน Google แล้วเจอแต่คอมเม้นกากๆ เกรียนๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ หาสาระที่จะมานำเสนอไม่ได้เลย จะรีวิวรถหรู รถแรงก็รู้สึกว่าบ่อยเกินจนผมรู้สึกเอียนแล้วและคนอ่านก็อาจจะรู้สึกแบบนั้นเช่นเดียวกัน เพราะอย่างนั้นวันนี้จึงเอาเกร็ดสาระน่ารู้ในการบำรุงรักษารถยนต์แบบภาพรวมไม่เจาะจงยี่ห้อหรือรุ่นมาฝากจะดีกว่า

เอาล่ะเริ่มที่อย่างแรกที่ต้องดูแลรักษาเลยก็คือส่วนที่ส่งผลต่อการทรงตัวของรถมากที่สุดเลย ก็คือยาง ควรหมั่นตรวจเช็คลมยางอย่างสม่ำเสมอ เพราะหากล้อข้างใดข้างหนึ่งลมยางไม่สมดุลกับล้ออื่นล่ะก็ จะส่งผลให้รถส่าย เอียง แถไปด้านใดด้านหนึ่ง หรือมีอาการเบรคปัดได้ ถ้าพบว่าแรงดันลมยางไม่เท่ากันก็เติมลมซะให้เรียบร้อยตามค่าที่ระบุในคู่มือ เพื่อรักษาสภาพยางไม่ให้เสื่อมเร็วด้วย

ตรวจดูหม้อน้ำหากพบว่าปริมาณน้ำแห้งแล้วก็ควรเติมด้วยน้ำสะอาดให้เต็ม แต่สำหรับรถบางรุ่นที่มีหม้อพักและมีท่อเชื่อมต่อกับหม้อน้ำก็ไม่จำเป็นต้องไปเปิดหม้อน้ำครับ เปิดดูหม้อพักนั่นแหละถ้าน้ำแห้งก็เติมน้ำสะอาดให้น้ำอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า Min และไม่เกินระดับ Max ซึ่งรถที่ผมใช้มีบอกอยู่ แต่ถ้ารถบางรุ่นไม่มีบอก ก็เติมประมาณ 3 ใน 4 ส่วนของหม้อพักนั่นเอง การดูน้ำในหม้อน้ำนี่แหละเป็นเรื่องเล็กๆ ที่สำคัญมาก เพราะมันจะส่งผลต่อระบบระบายความร้อน ไปจนถึงอายุการใช้งานของเครื่องยนต์นั่นเลยทีเดียว บางคนมาตายน้ำตื้นเพราะหม้อน้ำแห้งจนทำให้เครื่องน็อกก็มีให้เห็นกันอยู่ประจำ

ตรวจดูรอยรั่วต่างๆ ของน้ำและน้ำมัน วิธีง่ายๆ ก็ก้มดูใต้ท้องรถนั่นแหละ หากพบว่าผิดปกติควรปรึกษาช่าง อย่าละเลยจนมันพังขึ้นมา อาจจะทำให้เสียเงินและเสียเวลามากกว่าเดิม

ตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่อง ด้วยการดึงสายวัดออกแล้วเช็ดให้สะอาดจากนั้นเสียบกลับเข้าไปใหม่ แล้วดึงออกมาดูในแนวดิ่ง คราบน้ำมันที่ติดสายวัดจะเป็นตัวบอกระดับน้ำมันเครื่อง ระดับน้ำมันเครื่องควรอยู่ระหว่างตัวอักษร L (Low) และ F (Full) เมื่อพบว่าน้ำมันเครื่องต่ำกว่าระดับ L ก็เติมซะ แต่ไม่ควรให้เกินระดับ F เพราะจะทำให้ควันจากน้ำมันเครื่องไหลเข้าสู่ห้องเผาไหม้ และจะส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์

อีกอย่างก็คือ ตรวจดูน้ำมันเบรก หากพบว่าพร่องไปก็เติมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเวลาเติมก็ระวังอย่าให้หกใส่ตัวถัง เพราะมันจะทำให้เกิดความเสียหายกับสีรถได้ แต่ถ้าทำมันหกไปแล้วอย่าเช็ดเด็ดขาด เพราะ มันจะเป็นแผลยาวขึ้นตามที่คุณเช็ดโดนนั่นแหละ ควรล้างให้น้ำมันเจือจางด้วยน้ำสะอาด

นี่แหละครับไม่ใช่เรื่องยากหรือสลับซับซ้อน ไม่ต้องใช้ความรู้ทางวิศวะกรรมอันก้าวหน้าอะไรเลย เด็กมัธยมก็ทำได้ เสียสละเวลาเพียงน้อยนิดก็อาจจะช่วยประหยัดเงินได้บ้าง ไม่ต้องไปเสียเงินกับการต้องไปซ่อมรถบ่อยๆ เพราะขาดการดูและรักษา และหลายๆ อย่างมันก็ส่งผลไปถึงความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนของตัวคุณเองและเพื่อนร่วมทางด้วย

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Ferrari F458 Italia Speciale มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง?

ขายแบบลากยาวมาได้ครึ่งทศวรรษตั้งแต่ ปี 2009 แล้วสำหรับ F458 Italia ซึ่งก็ต้องมีการทำตามสูตรคือออกรุ่นพิเศษออกมา และ Ferrari F458 Italia Speciale ก็ได้ถือกำเนิด และมันจะพัฒนาจากตัวมาตรฐานไปมากแค่ไหนมาเริ่มกันที่

รูปลักษณ์ภายนอก
Ferrari F458 Italia Speciale
ท้าย F458 Speciale
รูปร่างมีดีไซน์ไม่ต่างจากเดิม แต่เพิ่มการตกแต่งด้วยลายคาดที่ถึงแม้จะไม่ตั้งใจก็คล้ายแถบสีของธงชาติไทยแบบเป๊ะๆ เปลี่ยนช่องดักลมที่กระจังหน้า เซาะร่องด้านข้างให้ต่างออกไป ท่อไอเสียทรงกลมจากที่มี 3 ท่อเรียงอยู่ตรงกลาง มาคราวนี้จับแยกเป็นท่อคู่ คั่นกลางด้วย Diffuser ใช้ล้อขนาด 20 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 245/35 ZR20 J9.0 ที่ล้อหน้า ส่วนล้อหลังจับคู่กับยางขนาด 305/30 ZR20 J11.0 มาพร้อมกับระบบเบรคคาร์บอนเซรามิก ที่มีขนาด ด้านหน้า 398*223*36 มิลลิเมตร และด้านหลัง 360*233*32 มิลลิเมตร

มิติตัวรถและน้ำหนัก
Ferrari F458 Italia Speciale มีขนาด ยาว*กว้าง*สูง เท่ากับ 4,571*1951*1203 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,650 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 1,395 กิโลกรัม กระจายน้ำหนักไปด้านหน้า 42% ด้านหลัง 58% ความจุถังน้ำมัน 86 ลิตร

ภายใน
ตกแต่งที่นั่งแบบรถแข่งฟอร์มูลาวัน มีเบาะหนัง Alcantara ชั้นดีก็จริงแต่มันแคบและนั่งไม่สบายเอาเสียเลย ทัศนะวิสัยในห้องโดยสารก็แย่ กระจกมองข้างเล็กเมื่อมองจากภายในจะมองไม่ค่อยเห็นรถที่มากระหนาบข้าง หรือตามมาด้านหลัง แต่จะส่งผลดีในการมองไลน์การเข้าโค้งเวลาขับในสนามแข่ง เนื่องจากจุดประสงค์ของรถคันนี้ก็ทำมาเพื่อการนี้อยู่แล้ว สังเกตจากเบาะนั่งที่จุดศูนย์ถ่วงต่ำเป็นพิเศษจนบางทีนี่นึกว่าจะนอนราบขนานไปกับพื้นถนนซะอีก บอกได้เลยว่านั่งไปนานๆ มีตะคริวกินแน่ๆ เทียบกับรถในระดับเดียวกันแล้ว ความสะดวกสบายและการใช้งานในชีวิตประจำวันรถคันนี้ทำได้แย่ที่สุด เปรียบเทียบกับ McLaren 650s, McLaren MP4-12C, Lamborghini Huracan, Porsche 911 Turbo S และ Audi R8 แล้ว รถเหล่านั้นนั่งสบายและใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ดีกว่าเยอะ

สมรรถนะเครื่องยนต์และอัตราเร่ง
ยังใช้เครื่องยนต์เบนซิน V8 สูบ 4.5 ลิตร ไร้ระบบช่วยอัดอากาศเหมือนเดิม แต่อัพเกรดสมรรถนะเพิ่มเป็น 605 แรงม้าที่ 9,000 รอบต่อนาที แรงบิด 540 นิวตัน/เมตร ที่ 6,000 รอบต่อนาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่าเดิม ทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้เร็วขึ้นอีก 0.4 วินาที โดยทำได้ 3.0 วินาที 0-200 ได้ใน 9.1 วินาที ยังช้ากว่า McLaren 650s ที่ทำได้ 8.4 วินาที Drag ทางตรงในระยะ 1,000 เมตร ใช้เวลา 19.4 วินาที ก็ยังช้ากว่า 650s ที่ทำได้ 18.9 วินาที กลายเป็น Ferrari F458 Italia Speciale ราคา 29 ล้านบาทไทย ช้ากว่ารถราคา 26 ล้านบาท อย่าง McLaren 650s ซะได้ ผลงานในสนาม Fiorano ของตัวเองทำผลงานได้ เวลาต่อรอบที่ 1 นาที 23.5 วินาที เร็วกว่า 458 รุ่นมาตรฐานอยู่ 1.5 วินาที ด้านความคุ้มค่า อัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยที่ 11.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรหรือ 8.47 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยไอเสีย 275 กรัมต่อกิโลเมตร ประหยัดและสะอาดกว่ารุ่นมาตรฐานเยอะ มันเป็นรถที่เร็วและพร้อมที่จะวิ่งอย่างพุ่งปรี๊ด ดังนั้นคนที่ได้ขับมันคงทำอัตราประหยัดน้ำมันได้ไม่ดีเท่าที่สเป็คระบุมาหรอก เพราะมันเหมือนกับเครื่องยนต์ V8 4.5 ลิตร มันจะบอกกับคุณว่า 'ถ้าเอ็งไม่อยากขับเร็วเอ็งอย่าขับข้าเลยจะดีกว่า' และแม้คุณจะไม่ต้องการความเร็วความแรงรถคันนี้ก็จะยัดเยียดสิ่งเหล่านี้ให้คุณ โดยเพียงกดคันเร่งเบาๆ เท่านั้นมันก็พร้อมที่จะพุ่งเป็นจรวด แต่ความเร็วของมันก็สามารถบังคับควบคุมได้ง่ายโดยที่คุณไม่ต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญไม่ต้องมีพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษและไม่ต้องฝึกฝนอะไรเลย เสียงเครื่องยนต์และท่อไอเสียดังเร้าใจยิ่งกว่าที่เป็นใน 458 รุ่นมาตรฐาน

ช่วงล่าง ระบบรองรับ
ช่วงล่างระบบแม่เหล็ก Magnetorheological ระบบ E-Diff และ F1 Traction Control ถูกพัฒนาให้มีความแม่นยำและละเอียดมากกว่าเดิม ทำให้การบังคับควบคุมเฉียบคมกว่า เข้าโค้งได้เร็วและแม่นยำกว่ารุ่นมาตรฐาน การทรงตัวมีความมั่นคงขึ้นโดยไม่มีอาการท้ายสั่นซึ่งเกิดขึ้นกับ 458 รุ่นมาตรฐาน ช่วงล่างและระบบรองรับเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อให้วิ่งในสนามแข่งโดยเฉพาะ การใช้ความเร็วในการเข้าโค้งจึงไม่มีปัญหา แต่ถ้าไปขับตามถนนที่มีลูกระนาดปัญหาจะตามมาแน่นอน เพราะมันซับแรงสั่นสะเทือนได้แย่ เทียบ Lamborghini Huracan ไม่ได้เลย ระยะเบรคจาก 100-0 กม./ชม. ทำได้ 31 เมตร ก็ทำได้แย่กว่า McLaren 650s ที่ทำได้ 30.5 เมตร ดูผิวเผินอาจเป็นระยะเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าแปลงค่าเป็นเซนติเมตรแล้ว ระยะเบรคไกลกว่าตั้ง 50 เซนติเมตรนี่มันนับว่ามากเลยล่ะ แต่การบังคับควบคุมถือว่าทำได้ง่ายและคล่องตัวแม้จะเป็นยามที่ขับในเมืองที่มีการจราจรติดขัด พวงมาลัยตอบสนองได้ไวดี แต่เมื่อขับในความเร็วสูงก็จะมีน้ำหนักพวงมาลัยที่ลงตัวสัมพันธ์กับความเร็ว การจะขับรถคันนี้ด้วยเทคนิคชั้นสูงอย่างการดริฟท์นั้นสามารถทำได้อย่างง่ายดายโดยที่คนขับไม่ต้องถึงขนาดเก่งระดับเซียนก็สามารถทำได้ โดยแค่เป็นคนที่ขับรถเป็นก็พอจะใช้ท่าดริฟท์ขั้นพื้นฐานได้ เพียงแค่เปิด VIDEO ใน Youtube ดู แล้วทำตามก็ทำได้ พอจะบอกได้ว่ารถคันนี้เปลี่ยนคนธรรมดาให้เป็นเซียนได้จริงๆ

สรุป
เห็นว่าเป็นซูเปอร์คาร์สมรรถนะดีก็อาจจะทำให้บางคนเกิดกิเลส ทั้งรีวิวจากนิตยสารชื่อดังหลายสำนักต่างพากันแซ่ซ้องสรรเสริญ จนถึงขั้นมีคะแนนเต็ม 10 ให้ 10 คะแนนเต็ม หรือเต็ม 5 ดาว ก็ได้ 5 ดาวเต็มๆ แต่ลองมองในมุมกลับดูบ้าง Ferrari F458 Italia Speciale ที่ตั้งราคาไว้ 29 ล้านบาท นับว่าเป็นราคาที่แพงเกินไปไม่คุ้มกับสิ่งที่จะได้ คือได้แค่สมรรถนะกับความเร็วเท่านั้น ซึ่งเอาจริงๆ แล้วมันไม่ได้วิเศษวิโสอะไรที่ขนาดจะได้คะแนนเต็มไปทุกเรื่อง นั่นเป็นเพราะว่าคนในวงการยานยนต์นั้นยกย่องหรืออวย Ferrari กันมากจนเกินความเป็นจริง มันมากซะจนบางทีรู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะอ้วก ทั้งๆ ที่มีรถในระดับเดียวกันที่ใช้งานดีกว่า และบางคันยังทำสมรรถนะได้ดีกว่า แต่ก็ไม่ค่อยจะมีใครพูดถึงรถเหล่านั้น แล้ว 458 Speciale มันมีดีก็แค่ขับสนุก ให้อารมณ์เร้าใจแบบเฟคๆ เท่านั้น การใช้งานจริงไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย สมรรถนะอัตราเร่ง ความเร็ว และเบรค ก็สู้ McLaren 650s ไม่ได้ การใช้งานอย่างสมบุกสมบันก็สู้ Lamborghini Huracan ไม่ได้ ประหยัดน้ำมันก็สู้ Porsche 911 Turbo S ไม่ได้ จะว่าเป็นรถที่ขับง่าย Audi R8 ก็ยังจะขับง่ายกว่า และรถที่กล่าวมาเหล่านี้ล้วนมีราคาถูกกว่า Ferrari F458 Speciale คันนี้อยู่มาก แต่หลายคนก็ทำเป็นตาบอดมองไม่เห็น หลับหูหลับตาอวย Ferrari มันอยู่นั้นแหละ เรทติ้งจาก AutoEvolution น่าจะสะท้อนความเป็นจริงของรถคันนี้ได้ดีที่สุดแล้ว

คะแนนจาก autoevolution http://www.autoevolution.com
จริงๆ แล้วสิ่งที่ทำให้หลายๆ คนอวยมันอยู่ตอนนี้ ก็เป็นเพราะประวัติศาสตร์อันยาวนาน และชื่อเสียงที่โด่งดังเพียงแค่นั้น สรุปโดยรวมแล้วได้คะแนนแค่ 7 จาก 10 คะแนนเต็ม และคุณค่าเมื่อเปรียบเทียบกับเม็ดเงินที่จ่ายไปได้แค่ 6 จากคะแนนเต็ม 10 เท่านั้น รวมคะแนนทั้งหมดได้เพียง 76 จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน แถมจากผู้ใช้เองก็ยังได้ 85 เต็ม 100 คะแนน ถ้าหากมันดีไปทุกอย่างทำไมมันไม่ได้เต็ม 100 คะแนน หรืออย่างน้อยได้ 90 คะแนนขึ้นไปก็ยังดี สรุปแล้วสิ่งที่คุณต้องเสียเงินซื้อไปก็คือ ชื่อเสียงจอมปลอม ความเท่ห์ที่หาสาระอะไรไม่ได้ ขับแล้วชะนีกรี๊ดเท่านั้น ไม่ใช่เพราะว่าอิจฉาเพราะไม่มีปัญญาซื้อขับแต่ว่ากันตามตรงแล้ว คนที่ขับ McLaren 650s หรือ MP4-12C, Lamborghini Huracan, Porsche 911 Turbo S และ Audi R8 V10 Plus ยังจะน่าอิจฉามากกว่าซะอีก ที่กล่าวมาเช่นนี้ไม่ใช่ว่า Ferrari F458 Italia Speciale คันนี้ไม่ดี มันเป็นรถที่ทำได้ตามเจตนารมณ์ของผู้สร้างมันมาทุกประการ เป็นดั่งพยัคฆ์ติดปีกในสนามแข่ง แต่บางทีสื่อก็อวยกันจนเกินไป จนรถที่เร็วคันหนึ่งมันจะกลายร่างเป็นยานอพอลโล่อยู่แล้ว

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Audi TT Mk3 ขอยืมดีไซน์ Lamborghini มาซิ่ง

Audi TT ผลิตมาได้ 3 Generations แล้ว โดย Generation ก่อนหน้านี้ที่ใช้รหัส Mk2 ก็กลายเป็นรถสปอร์ตยอดฮิตในเมืองไทยไม่แพ้รถจากค่าย Benz กับ BMW กลับมาครั้งนี้กับรหัส Mk3 รูปลักษณ์ภายนอกดูดุดันมีเส้นสายคมกริบและมี่เหลี่ยมสันมากขึ้น ก็ต้องดูว่าจะเป็นรถยอดนิยมเหมือนเดิมอยู่รึเปล่า

รูปลักษณ์ภายนอก
Audi TT Mk3

ท้าย TT
มีดีไซน์ดุดันขึ้นด้านหน้ามีการเอาเส้นสายของ Lamborghini Huracan มาใช้อยู่บ้าง ด้านหลังก็มีการเอาดีไซน์ของ Porsche มาประยุกต์ใช้ ถือเป็นการ Mix and Match รถในเครือ Volkswagen อย่างลงตัว ตำแหน่งสปอยเลอร์หลังมันจะโผล่ยื่นออกมาเมื่อความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป ปลายท่อไอเสียเป็นแบบทรงกลม 2 ท่อแยกออกจากกัน โครงสร้างตัวถังส่วนใหญ่เป็นโลหะผสมอย่างเหล็กและอะลูมีเนียม จึงทำให้มีน้ำหนักเบา โดย TT รุ่นมาตรฐานมีน้ำหนักอยู่ที่ 1,230 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนมิติตัวถัง ยาว*กว้าง*สูง เท่ากับ 4,177*1,832*1353 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,505 มิลลิเมตร

ภายใน
การออกแบบภายในถือว่าทำได้อย่างหรูหราวัสดุที่ใช้เป็นวัสดุชั้นดี มีดีไซน์ภายในที่แสดงความดิบกร้าวของรถสปอร์ตอย่างมีสัดส่วนพอเหมาะ จนมีความรู้สึกแว้บๆ นิดนึงว่าเหมือนนั่งอยู่ใน Lamborghini Aventador การออกแบบห้องโดยสารภายในได้รับอิทธิพลมาจากการออกแบบห้องโดยสารของนักบินอยู่พอสมควร ส่วนของช่องแอร์ทรงกลมดูคล้ายกับส่วนปล่อยไอพ่นของเครื่องบิน เบาะนั่งจัดวางในตำแหน่งที่ต่ำตามมาตรฐานของรถสปอร์ต พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นปาดตอนล่างให้เป็นเส้นตรง ลักษณะเป็นวงกลมที่ถูกตัดส่วนโค้งออกตรงด้านล่าง แต่งตะเข็บพวงมาลัยด้วยกรอบอะลูมีเนียม มีระบบอินโฟเทนเม้นท์ MMI อำนวยความสะดวกและให้ความบันเทิงไปกับการขับขี่

ภายใน TT
ขุมพลังของเครื่องยนต์และสมรรถนะอัตราเร่ง, ความเร็วสูงสุด
แบ่งย่อยออกเป็น 3 ระดับ ในรุ่นมาตรฐาน มีขุมพลังให้เลือก 2 แบบคือ
เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร TFSI ให้แรงม้า 230 แรงม้า และแรงบิด 370 นิวตัน/เมตร ในรุ่นเกียร์ธรรมดาขับเคลื่อนล้อหน้าทำสมรรถนะอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 6.0 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด S Tronic พร้อมด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro จะทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ดีขึ้นที่ 5.3 วินาที มีอัตราสิ้นเปลือง 6.8 ลิตร/100 กิโลเมตร หรือ 14.7 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อย Co2 159 กรัมต่อกิโลเมตร
เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร TDI ให้แรงม้า 184 แรงม้า และให้แรงบิด 380 นิวตัน/เมตร จับคู่กับเกียร์ธรรมดา ขับเคลื่อนล้อหน้า สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 ได้ใน 7.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 235 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลือง 4.2 ลิตร/100 กิโลเมตร หรือ 23.8 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยไอเสีย 110 กรัมต่อกิโลเมตร
ส่วนรุ่นท็อปตัวแรงของค่าย Audi TTS 2.0 TFSI Quattro ให้แรงม้า 310 แรงม้า และแรงบิด 380 นิวตัน/เมตร ที่ 1,800-5,700 รอบต่อนาที สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 ได้ใน 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุดก็ยังจำกัดไว้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเช่นเดิม

สรุป
ดูจากขุมกำลังแล้วน่าจะเอาชนะใจขาซิ่งได้ไม่ยาก และก็อาจจะใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดีด้วยเพราะก่อมลพิษต่ำ ประหยัดน้ำมันกว่ารถสปอร์ตทั่วไปที่มีความแรงอยู่ในระดับนี้ ก็อยู่ที่ว่าบ้านเราจะมีใครนำเข้ามาบ้าง ซึ่งปัจจุบันหาตัวแทนจำหน่าย Audi ในไทย ที่ดีๆ หาได้ยากยิ่ง มีอยู่ไม่เกิน 2-3 เจ้า ดูแล้วความหวังที่จะได้สัมผัสรถคันนี้ได้อย่างเร็วที่สุด คงต้องไปตกอยู่กับผู้นำเข้าอิสระเสียแล้ว

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เปรียบเทียบ Mercedes-Benz GLA200 Urban, BMW X1 sDrive18i, Volvo V40 Cross Country

กลุ่มตลาด SUV หรูเป็นกลุ่มเฉพาะอีกกลุ่มหนึ่งที่มีการแข่งขันกันดุเดือดไม่แพ้ SUV ในตลาดระดับ Mass สำหรับรถรุ่นที่น่าจับตามองที่มีราคาไม่แพงเกินไปนัก ก็มีอยู่ 3 รุ่นด้วยกันคือ Mercedes-Benz GLA200 Urban ที่เปรียบเสมือน A-Class ขยายร่าง ราคา 2,440,000 บาท มีจำหน่ายโดยตัวแทนอย่างเป็นทางการอยู่รุ่นเดียว, BMW X1 sDrive18i ที่แบ่งเป็น 3 รุ่นย่อย ราคาตั้งแต่ 1,999,000-2,199,000 บาท แต่รายละเอียดทางด้านวิศวะกรรมไม่แตกต่างกัน ต่างกันเพียงอุปกรณ์เสริม และ Volvo V40 Cross Country ที่จับ Volvo V40 Hatchback รุ่นปกติมายกสูงปรับแต่งเป็น CrossOver SUV ราคา 1,920,000 บาท ลองมาดูรูปร่างหน้าตาของรถทั้งสามกัน

Mercedes-Benz GLA

BMW X1

Volvo V40 Cross Country
รูปลักษณ์ภายนอก
Mercedes-Benz GLA200 Urban ก็อย่างที่ว่ารูปร่างมันก็คือจับเอา A-Class มายกสูงขยายตัวถังให้กว้างขึ้นใช้ล้อขนาดใหญ่ขึ้น หน้าตาดูเรียบง่ายแต่ก็แฝงมาดสปอร์ตอยู่บ้าง ทั้งยังดูมีความอ่อนเยาว์
BMW X1 sDrive18i ทำตลาดมายาวนานกว่าเพื่อน รูปร่างหน้าตาอาจจะดูล้าสมัยไปบ้าง แต่ก็ยังดูดีมีระดับในแบบที่มันเป็น ถึงแม้มองดูแล้วอาจจะคาดเดาอายุคนขับว่าไม่น่าจะอายุต่ำกว่า 35 ปี ก็ตาม (ถ้าซื้อด้วยเงินตัวเอง ไม่ได้เป็นลูกหลานเศรษฐี)
Volvo V40 Cross Country รูปทรงดูเท่ห์และสปอร์ตขึ้นมากกว่ารถรุ่นใดๆ ที่ Volvo เคยผลิตมา ดูมีความเป็นวัยรุ่นมากขึ้น รูปทรงดูแล้วยังเป็นรูปลักษณ์ของรถราคาแพงอยู่ ถ้าไม่รู้ราคามาก่อนอาจจะคิดว่าราคา 2.2 ล้านด้วยซ้ำ

มิติตัวรถและค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน
Mercedes-Benz GLA200 Urban มีความ ยาว*กว้าง*สูง เท่ากับ 4,417*1,804*1,494 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,699 มิลลิเมตร ค่า Cd เท่ากับ 0.31 น้ำหนักรถเปล่า 1,435 กิโลกรัม
BMW X1 sDrive18i มีความ ยาว*กว้าง*สูง เท่ากับ 4,454*1,798*1,545 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,760 มิลลิเมตร ค่า Cd เท่ากับ 0.32 น้ำหนักรถเปล่า 1,530 กิโลกรัม
Volvo V40 Cross Country มีความ ยาว*กว้าง*สูง เท่ากับ 4,370*1,783*1,458 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,646 มิลลิเมตร ค่า Cd เท่ากับ 0.34 รถเล็กกว่าเพื่อนแต่แรงเสียดทานอากาศมากกว่าน่าแปลกเหมือนกัน น้ำหนักรถเปล่า 1,577 กิโลกรัม 

สมรรถนะเครื่องยนต์และอัตราเร่ง
Mercedes-Benz GLA200 Urban ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ 1.6 ลิตร 156 แรงม้าที่ 5,300 รอบต่อนาที แรงบิด 250 นิวตัน/เมตร ที่ 1,250-4,000 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 ทำได้ 8.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 215 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
BMW X1 sDrive18i ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตร 150 แรงม้าที่ 6,400 รอบต่อนาที แรงบิด 200 นิวตัน/เมตร ที่ 3,600 รอบต่อนาที ทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ใน 10.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
Volvo V40 Cross Country ใช้เครื่องยนต์ 5 สูบ Flex Fuel 2.0 ลิตร 213 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 300 นิวตัน/เมตร ที่ 2,700-5,000 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 ทำได้ 6.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
รถทั้ง 3 คันถือเป็น SUV ที่มีสมรรถนะดี แต่ตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวเลขที่เป็นสเป็คที่ระบุจากโรงงาน ในการทดสอบจริงๆ ตัวเลขอัตราเร่งเหล่านี้จะช้าลงนิดหน่อยยกตัวอย่าง BMW X1 0-100 ทดสอบจริงใช้เวลาไป 11.5 วินาที และความเร็วสูงสุดก็ไม่ถึง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนรถที่เหลืออีก 2 คัน ก็ช้าลงอีกเล็กน้อยเช่นกัน แต่ถึงแม้ตัวเลขจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง ผลที่ออกมาก็ไม่เปลี่ยนว่า V40 เร็วที่สุด ตามมาด้วย GLA และ X1 ตามลำดับ โดยทั้ง 3 คันทำเวลาในการแข่ง Drag 1,000 เมตรได้ดังนี้ 1. V40 ใช้เวลา 29.2 วินาที ตามมาด้วย 2. GLA 31.3 วินาที และ 3. X1 31.9 วินาที
ส่วนอัตราประหยัดน้ำมันเป็นไปดังนี้
1. GLA 16.9-17.2 กิโลเมตรต่อลิตร 2. V40 12.82 กิโลเมตรต่อลิตร 3. X1 12.7 กิโลเมตรต่อลิตร
GLA เครื่องยนต์เล็กกว่าน้ำหนักเบากว่าทำอัตราประหยัดน้ำมันได้ดีที่สุดก็ไม่แปลก แต่สำหรับ X1 มันคงจะเก่าไปจริงๆ ถึงทำอัตราประหยัดน้ำมันสู้ V40 ไม่ได้ แต่ก็ยังถือว่าไม่ห่างกันมากนัก

สมรรถนะช่วงล่างและระบบรองรับ
ทั้ง 3 คันจัดระบบความปลอดภัยมาเต็มที่ ตามมาตรฐานรถยุโรป น่าถูกใจตรงระบบตรวจจับความพร้อมของผู้ขับขี่ของ Volvo V40 กับ Benz GLA ที่จะจับสภาพจากลักษณะแววตาของผู้ขับขี่ ว่ามีความเหนื่อยล้าหรือไม่ หากอยู่ในระดับอันตรายจะส่งสัญญาณเตือนทันทีสำหรับให้หยุดรถเพื่อพักผ่อน แต่ BMW X1 ไม่ระบุว่ามีระบบนี้ และผมก็ไม่อยากทดสอบด้วยตัวเองด้วยการหลับใน จึงสันนิษฐานว่าไม่มีไว้ก่อน นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีลูกเล่นใหม่อะไร ระบบความปลอดภัยของทั้ง 3 คันก็คล้ายคลึงกัน สำหรับสมรรถนะช่วงล่างนั้น

GLA จะมีลักษณะช่วงล่างคล้ายกับ A-Class คือกระด้างแต่มีความมั่นคงหนึบแน่น มั่นใจยามเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง การสื่อสารระหว่างพวงมาลัยกับคนขับเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา มันจะส่งฟีดแบ็คจากพื้นถนนสู่พวงมาลัยได้อย่างชัดเจน ในการขับขี่เข้าโค้งแคบๆ ประมาณโค้งหักศอก 90 องศา ถึง 45 องศา GLA เป็นรถที่เข้าโค้งได้อย่างคล่องตัวที่สุดใน 3 คันนี้

ทางด้าน X1 ช่วงล่างก็กระด้างในแบบของ BMW แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกสั่นหรือกระเด้งกระดอน พวงมาลัยปรับน้ำหนักสัมพันธ์กับความเร็วและส่งฟีดแบ็คได้ชัดเจนดี โดยรวมแล้วเป็นช่วงล่างที่ปรับสมดุลความนุ่ม ความกระด้าง และความหนึบได้ดีที่สุดในรถทั้ง 3 คัน และเป็นรถที่นั่งสบายมีความเป็น SUV มากกว่าคันอื่น การขับผ่านลูกระนาดถือว่าซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีกว่า GLA และลงตัวกว่า V40 ที่ยังรู้สึกถึงความย้วยของช่วงล่างด้านหลังอยู่

สำหรับ V40 สมดุลระหว่างสมรรถนะเครื่องยนต์กับสมรรถนะช่วงล่าง ต่างกับ GLA ไปคนละทาง GLA เป็นรถที่แรงปานกลาง แต่กลับปรับช่วงล่างกระด้างเกินไปในลักษณะแบบรถสปอร์ต ส่วน V40 อัตราเร่งจัดจ้าน แต่กลับเซ็ตช่วงล่างเป็นแบบรถครอบครัว ถึงแม้ด้านหน้าจะลงตัวแล้ว แต่ด้านหลังรู้สึกว่าจะนุ่มเกินไป หากวิ่งแบบสลาลมแล้วรู้สึกได้ว่ามีการเอนเอียงอยู่แต่ถ้าไม่ตั้งสมาธิจับสัมผัสดีๆ ก็จะไม่รู้สึกอะไร โดยรวมยังถือว่าเป็นช่วงล่างที่ดีหนึบแน่นแต่อยากให้ปรับเซ็ตให้แข็งกว่านี้อีกซักหน่อย การเข้าโค้งกว้างๆ ประมาณโค้งมุมป้าน 140 องศา ขึ้นไป สามารถอัดเข้าไป 160-180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ยังเอาอยู่ แต่ถ้าช่วงล่างแข็งกว่านี้ก็จะรู้สึกมั่นใจมากขึ้น

สรุป
รถทั้ง 3 คันมีดีไปคนละแบบ หากคุณต้องการรถที่ขับสนุกมีความคล่องตัว เป็น CrossOver SUV ที่มีความเป็นสปอร์ตแฝงอยู่ อัตราเร่งปานกลาง มีความประหยัดน้ำมัน และรับกับช่วงล่างที่กระด้างได้ ก็ไปที่ GLA ถ้าต้องการรถนั่งสบายตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครอบคลุม ถึงแม้อัตราเร่งจะไม่หวือหวา แต่ก็จัดว่าไม่ได้แย่ ก็ไปที่ X1 ส่วนใครต้องการอัตราเร่งแบบกดเป็นมา เร่งแซงรถคันหน้าเป็นชีวิตจิตใจ แต่ยังใส่ใจความสะดวกสบายของผู้โดยสารด้านหลัง ก็ไปที่ V40 ที่ถึงแม้พื้นที่จะเล็กที่สุดแต่ก็จัดสรรได้อย่างลงตัวและก็ไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดมากเท่าไหร่

เพิ่มเติมอีกนิด ถ้าหากต้องการสมรรถนะแบบทั้ง 3 คันนี้แต่งบไม่ถึง กลัวราคาอะไหล่และการเซอร์วิส และไม่ใส่ใจเรื่องออปชั่นหรืออุปกรณ์และระบบรองรับที่น้อยกว่า Mazda CX5 ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเหมือนกัน

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557

รีวิว Mazda 3 Skyactiv Hatchback

มีกระแสตอบรับที่ดีมากสำหรับ Mazda 3 Skyactiv ใหม่ และมีขับกันให้เห็นบนถนนหลวงมากมาย เรียกว่าออกบ้านไปต้องเจอทุกวัน จึงขอนำมารีวิวให้ได้อ่านกันเพลินๆ ซะหน่อย โดยครั้งนี้จะขอรีวิวในรุ่น Hatchback 5 ประตู ว่าแล้วก็ไปเริ่มกันที่

รูปลักษณ์ภายนอก
Mazda 3 Skyactiv

ท้าย Mazda 3 Skyactiv
ดีไซน์สปอร์ตโฉบเฉี่ยว ที่เรียกว่า KODO Design ซึ่งบ่งบอกถึงความเร็ว พละกำลังและสเน่ห์ โดย Mazda ตั้งใจให้รูปลักษณ์ภายนอกบ่งบอกถึง 3 สิ่งเหล่านี้ กระจังหน้าถอดแบบมาจาก Mazda CX5 แต่มีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกันนิดหน่อย ดวงไฟคู่หน้าเป็นแบบโปรเจกเตอร์พร้อมไฟ LED ไฟท้ายก็ออกแบบรูปทรงคล้ายกับไฟหน้า ติดตั้งสปอยเลอร์เล็กๆ บน 'ประตูหลัง' ในรุ่นท็อปจะใช้ล้อแม็กขนาด 18 นิ้ว จับคู่กับยางขนาด 215/45 R18

ภายใน
ดีไซน์ภายในตกแต่งแบบสไตล์รถยุโรป แต่เข้าไปแล้วเจอกับมาตรวัดความเร็วดิจิตอลที่แสดงผลเป็นตัวเลขแล้วส่วนตัวดูไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ โดยมีมาตรวัดรอบแสดงผลเป็นเข็มไมล์ ด้วยช่องแสดงผลกลมๆ เพียงช่องเดียว แล้วมีมาตรแสดงค่าอื่นๆ กระหนาบข้าง และมีปุ่ม Start/Stop อยู่ล่างซ้ายตำแหน่ง 8 นาฬิกา ดูแล้วมันโกร๋นๆชอบกล น่าจะแยกมาตรวัดรอบกับมาตรวัดความเร็วจะดูคลาสสิคกว่า

มาตรวัดค่าต่างๆ
สำหรับที่อื่นๆ มีอุปกรณ์ให้ความบันเทิงและอำนวยความสะดวกครบครันยกตัวอย่างเช่น หน้าจอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว โดยจะตัดไปใช้ปุ่มควบคุมเมื่อความเร็วเกิน 9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แผ่นสกรีนใสบอกค่าต่างๆ ที่เรียกว่าระบบ Active Driving Display บนคอนโซลหน้าเหนือมาตรวัดดูแล้วไฮเทคก็จริงแต่บางทีก็รู้สึกว่ามันเป็นส่วนเกินที่ไม่จำเป็นเอาเสียเลย มันเพียงแค่ส่งสัญญาณเตือนที่รู้สึกน่ารำคาญตา ข้อมูลบางอย่างที่แสดงก็ซ้ำซ้อนกับมาตรวัดด้านล่าง ผู้ที่มีเซ้นส์ในการขับรถดีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องใช้ระบบนี้เลย ในทางรูปธรรมแล้วไม่ก่อประโยชน์อะไรเลย เพียงแค่ส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกเท่านั้น

Active Driving Display
ส่วนเรื่องทัศนะวิสัยและความสะดวกสบายในการขับขี่และการโดยสารทำได้ลงตัวดี โดยเบาะคนขับสามารถปรับท่านั่งได้ 6 ทิศทาง ส่วนห้องสัมภาระก็มีให้ใช้อย่างพอเพียง

สมรรถนะเครื่องยนต์และอัตราเร่ง
เครื่องยนต์ Skyactiv 4 สูบ 2.0 ลิตร ให้แรงม้า 165 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 210 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที รองรับ E85 มีสเป็คการประหยัดน้ำมันระบุจากโรงงาน 19.6 กิโลเมตรต่อลิตร เป็นเครื่องยนต์ที่แรง และยิ่งมาจับคู่กับเกียร์ Skyactiv-Drive 6 สปีด ก็ยิ่งทำให้อัตราเร่งจัดจ้านโดยเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 9.6 วินาที 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใช้เวลา 7 วินาที ความเร็วสูงสุด 207 กิโลเมตรต่อชั่วโมงบนมาตรวัด ถือว่าเป็นตัวเลขของรถ C-Segment ที่ขึ้นไปเทียบชั้นกับรถ D-Segment ได้สบาย ความรู้สึกในการขับขี่เป็นรถที่ขับสนุกอัตราเร่งมาไวเมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน เพียงแค่กดคันเร่งอย่างพอประมาณรถก็ตอบสนองได้ทันท่วงที

ความเร็วสูงสุด
ช่วงล่างหรือระบบรองรับ
มีบุคลิกช่วงล่างคล้ายคลึงกับ Mazda MX5 โร้ดสเตอร์ตัวชูโรงของค่าย เกาะถนนอย่างหนึบแน่นมั่นคง แต่อาจรู้สึกกระด้างไปบ้างสำหรับคนที่ชินกับช่วงล่างของค่าย Honda แต่สำหรับคนที่คุ้นเคยกับความกระด้างแบบรถสปอร์ต ช่วงล่างของ Mazda 3 Skyactiv คันนี้ถือว่านุ่มใช้ได้ สำหรับสมรรถนะการเข้าโค้งสามารถยัดโค้งด้วยความเร็วสูงได้สบาย แต่ยังมีข้อบกพร่องที่พวงมาลัยเบาเกินไปเมื่อใช้ความเร็วสูง ซึ่งมันเป็นกับ Mazda ทุกรุ่นที่ขับช้าก็เบาขับเร็วก็เบาอย่างนี้ เว้นไว้แต่เพียง MX5 เท่านั้น เบรคตอบสนองได้ดีระยะการเหยียบไม่ลึกและไม่ตื้นเกินไป ให้สัมผัสน้ำหนักที่พอเหมาะ สำหรับระบบความปลอดภัยมีมาให้ทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้าและม่านถุงลม มีระบบควบคุมการทรงตัว มีระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ ระบบป้องกันการลื่นไถล และป้องกันล้อหมุนฟรี สัญญาณเตือนเมื่อมีรถวิ่งอยู่ในมุมอับสายตา แต่ไม่มีกล้องมองหลังมาให้ แต่ถ้าอยากได้ไปหาติดเอาเองก็ได้ไม่ใช่ปัญหา

สรุป
ข้อดี: รถแรงขับสนุกช่วงล่างดี ประหยัดน้ำมัน มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและให้ความบันเทิงอย่างครบครัน เทคโนโลยีทันสมัย
ข้อเสีย: พวงมาลัยเบาเกินไปเมื่อขับด้วยความเร็วสูง ฟังก์ชั่นการใช้งานบางอย่างซ้ำซ้อน ไม่ชอบดีไซน์ของมาตรวัดความเร็ว

เมื่อรับได้กับข้อดีข้อเสียเหล่านี้และตัดสินใจจะซื้ออย่างแน่นอน ก็สามารถเลือกดูได้ โดย Mazda 3 Skyactiv Hatchback จะมีอยู่ 4 รุ่นย่อย โดยมีรายละเอียดดังนี้

Mazda 3 2.0E Sports ราคา 833,000 บาท
Mazda 3 2.0C Sports ราคา 914,000 บาท
Mazda 3 2.0S Sports ราคา 974,000 บาท
Mazda 3 2.0SP Sports ราคา 1,094,000 บาท

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

All New Chevrolet Cruze จะมาไทยเมื่อไหร่?

Chevrolet Cruze รถที่ถือว่ามีสมรรถนะช่วงล่างดีเทียบได้กับรถยุโรป อัตราเร่งก็ดี โดยเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล แต่สมรรถนะดีๆ เหล่านี้ กลับถูกกลบไปด้วยปัญหาจุกจิกในการใช้งานสารพัด โดยเฉพาะเรื่องเกียร์ที่ถูกบ่นอย่างหนาหู และช่วงที่ผ่านมาก็มีการเรียกคืน Cruze รุ่นดีเซล ปี 2011 เพื่อมาแก้ไขปัญหาของช่วงล่างและเพลา แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีที่ GM ยังมีความรับผิดชอบแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดไป และก็ยังคงจะมี Chevrolet Cruze เจเนอเรชั่นที่ 2 ต่อไป โดยได้เปิดตัวที่ Beijing Autoshow ประเทศจีนเป็นที่แรก และมีรูปร่างหน้าตาแบบนี้

All New Chevrolet Cruze 2015
ท้าย Chevy Cruze
ดูเส้นสายและดวงไฟคู่หน้ามีส่วนคล้ายคลึงกับรถสปอร์ตแฮทช์แบ็คจากเกาหลีอย่าง KIA Pro Cee'd อยู่บ้าง
KIA Pro Cee'd
ด้านหน้ามีส่วนคล้ายกันอยู่แต่ Cruze จะออกแบบให้หน้าตาดูเรียบร้อยกว่า และบุคลิกไม่สปอร์ตและโดดเด่นเท่า ซึ่งคันจริงที่จะมาไทยก็อาจจะมีหน้าตาแบบนี้ ซึ่งรถรุ่นนี้ยังไม่มีข้อมูลรายละเอียดใดๆ จากศูนย์ใหญ่ของ GM ทั้งเรื่องเครื่องยนต์ที่ใช้ สเป็คต่างๆ แต่คาดว่าในเมืองไทยอาจจะวางขายปลายปี 2015 หรืออย่างช้าที่สุดไม่เกินต้นปี 2016 และก็ยังจะใช้ชื่อรุ่นว่า Cruze ต่อไป และยอดขายช่วงเดือน มกราคมถึงกรกฎาคม ปี 2014 ที่ผ่านมา Chevrolet Cruze รุ่นปัจจุบันปี 2014 ถือว่ายังห่างชั้นกับเจ้าตลาดอย่าง Honda Civic กับ Toyota Corolla Altis โดย Cruze ทำตัวเลขได้ 1,174 คัน ส่วน Civic ทำได้ 7,123 คัน Altis ทำได้ 21,660 คัน กับรถ C-Segment เหมือนกัน Cruze ทำได้เหนือกว่าแค่ Ford New Focus ที่ทำได้ 1,044 คัน และ Mitsubishi Lancer EX ที่ทำได้เพียง 247 คัน นับว่า Lancer EX เป็นรถดีอีกคันที่ทำยอดขายได้แย่มาก จึงไม่แปลกใจเลยที่ทาง Mitsubishi จะเลิกที่จะผลิตมันแล้ว

สรุปคือถึงแม้ยอดขายของ Cruze ในบ้านเราจะไม่หวือหวา แถมมีการร้องเรียนจากลูกค้าเกี่ยว Defect ของรถ GM ก็ยังไม่ละความพยายามที่จะ วางขาย Cruze Generation 2 และยังใช้ชื่อรุ่นเดิมต่อไป ไม่เหมือน Mitsubishi ที่จะยุติบทบาท Lancer EX ไปแล้ว ทั้งๆที่เอาจริงๆ EX เจอปัญหา Defect จากตัวรถน้อยกว่า Cruze ด้วยซ้ำ แต่คงเพราะยอดขายมันห่วยบรรลัยจริงๆนั่นแหละถึงได้ยกธงขาวยอมแพ้ไป เป็นข้อพิสูจน์อีกอย่างหนึ่งที่ว่ารถสมรรถนะดี ก็อาจจะขายไม่ดีเพราะปัจจัยโดยรวมหลายๆอย่าง ทั้งๆที่ Chevrolet Cruze, Ford Focus และ Mitsubishi Lancer EX ต่างก็มีสมรรถนะดี ช่วงล่างดีเทียบชั้นได้กับรถยุโรป แต่ยอดขายกลับไม่ดีตามสมรรถนะซะอย่างนั้น

*ข้อมูลยอดขายอ้างอิงจากนิตยสารฟอร์มูลา ปีที่ 38 ฉบับที่ 465 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2557 (2014)

วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557

รีวิว Land Rover Range Rover Evoque SD4 2.2 Pure 5DR.

Range Rover Evoque ออกวางตลาดมานานหลายปีแล้ว สมรรถนะอาจจะโดน SUV รุ่นใหม่ๆ อย่าง Porsche Macan กับ BMW X4 แซงหน้าไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายเพราะ ราคาของ Evoque ในไทยถูกกว่ารถเหล่านั้นเยอะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า Evoque จะแพ้รถรุ่นใหม่ๆ อย่างขาดลอย มันยังมีสมรรถนะที่ดี และการใช้งานจริงก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพด้อยกว่ารถที่มีราคาแพงกว่าเลย โดย Evoque รุ่น Pure ราคา 4,099,000 บาท มีรายละเอียดดังนี้

รูปลักษณ์ภายนอก
Range Rover Evoque

ด้านท้าย Evoque
มีรูปลักษณ์ รูปทรง ที่ดูหรูหราสวยงาม ออกแบบโดย Victoria Beckham หลังคาลาดเอียงไปทางด้านหลัง กระจกมองข้างใหญ่พอสมควร ดวงไฟคูหน้าและกระจังหน้าออกแบบได้อ่อนช้อยงดงาม แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความเคร่งขรึม มิติตัวรถ ยาว*กว้าง*สูง เท่ากับ 4,355*1,965*1,635 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,660 มิลลิเมตร ใช้ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว คู่กับยางขนาด 225/65 R17 ตัวถังภายนอกถูกออกแบบให้ลู่ลม โดยมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน Cd เท่ากับ 0.35 ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่ดีสำหรับรถประเภท SUV

ภายใน
ออกแบบได้อย่างกลมกลืนเป็นธรรมชาติ พื้นที่ใช้สอยจัดสรรได้อย่างลงตัว ทัศนะวิสัยด้านหน้าชัดเจนดี แต่ด้านหลังที่มีพื้นที่กระจกค่อนข้างเล็กและแคบอาจจะส่งผลต่อการมองเห็นนิดหน่อย พื้นที่สำหรับผู้โดยสารด้านหลังมีให้ใช้อย่างพอเพียงถึงแม้จะออกแบบหลังคาให้ลาดเอียงไปทางด้านหลังแต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เหนือศีรษะมากนัก ถ้าคนนั่งมีสรีระที่ไม่สูงมาก พื้นที่วางขามีให้อย่างพอเพียง พื้นที่สำหรับผู้โดยสารด้านหน้าและคนขับมีให้ใช้อย่างเหลือเฟือ เบาะนั่งโอบกระชับให้สัมผัสที่รู้สึกได้ถึงความหรู คอนโซลหน้าตกแต่งได้อย่างปราณีต วัสดุที่ใช้มีคุณภาพดี เรียกว่าคุณภาพวัสดุและความพิถีพิถันในการตกแต่งทำได้ดีกว่า SUV จากเยอรมัน แน่นอนขึ้นชื่อว่ารถที่ออกแบบโดยเจ้าแม่แฟชั่นอย่าง Victoria Beckham มันต้องทำได้อย่างนี้ การเก็บเสียงในห้องโดยสารที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีเสียง 65 เดซิเบล ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจหากเทียบกับขนาดตัวถัง ขนาดเครื่องยนต์ ขนาดล้อและยางที่ใช้ และแรงเสียดทานที่ได้รับ แต่สิ่งที่รู้สึกขัดใจเห็นจะเป็นที่เปลี่ยนเกียร์แบบปุ่มหมุน ที่สิ่งนี้มันควรไปอยู่บนตู้อบไมโครเวฟหรือเครื่องเสียงดีกว่าที่จะมาอยู่ในตำแหน่งเปลี่ยนเกียร์
ปุ่มเปลี่ยนเกียร์
สมรรถนะเครื่องยนต์และอัตราเร่ง
เครื่องยนต์ 4 สูบ 2.2 ลิตร ดีเซลเทอร์โบ ที่สร้างแรงม้า 190 แรงม้า แรงบิด 420 นิวตัน-เมตร อาจจะดูตัวเลขไม่ค่อยหวือหวา ดูผิวเผินตัวเลขแค่นี้มันอยู่ในระดับเดียวกับรถกระบะอย่าง Nissan Navara NP-300 แค่นั้น แต่ด้วยพื้นฐานวิศวะกรรมที่ล้ำหน้ากว่าทำให้รถน้ำหนัก 1,715 กิโลกรัม ขับเคลื่อนสี่ล้อคันนี้ทำสมรรถนะอัตราเร่งได้เหนือกว่ารถที่มี 190 แรงม้าทั่วๆไป โดยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 8.5 วินาที ความเร็วสูงสุดที่มาตรวัดทำได้ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

0-100 km/h and 1,000m. acceleration

ความเร็วสูงสุด 200 กม./ชม.
อัตราเร่งยืดหยุ่นก็ทำได้ดีที่ความเร็ว 60-100 ทำได้ 6.2 วินาที 80-120 ทำได้ 8.1 วินาที การเร่งความเร็วจาก 0-160 ทำได้ 28.1 วินาที 0-180 ทำได้ 40.1 วินาที ถ้าถามว่าตัวเลขแบบนี้จะอยู่ในระดับไหน ก็บอกได้ว่าเป็นตัวเลขที่ทำได้ดีกว่า BMW X1 sDrive18i ที่ทำตัวเลขอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ 11.5 วินาที 80-120 ได้ 8.7 วินาที 0-160 ได้ 33.5 วินาที
ส่วนการวิ่งทางตรงระยะ 1,000 เมตรหรือ 1 กิโลเมตร Range Rover Evoque เข้าเส้นชัยภายใน 30.2 วินาที โดยความเร็วจบที่ 165 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
อัตราเร่ง 0-160 กม./ชม.
อัตราเร่ง 0-180 กม./ชม.
นับว่าเป็นตัวเลขสมรรถนะที่ดี ในความรู้สึกการขับขี่อาจจะไม่รู้สึกว่ามันเร็วและขับไม่สนุก แต่ถ้าจับเวลาจริงๆ ผลก็ออกมาอย่างที่เห็น คือเร็วกว่ารถที่หลายๆ คนบอกว่าขับสนุกอยู่หลายคัน เพราะความสนุกเหล่านั้นมันเกิดจากคุณภาพการขับขี่ที่ด้อยประสิทธิภาพทำให้รู้สึกไปเองว่ามันเร็วและหวาดเสียว ส่วน Evoque คันนี้ ไม่รู้สึกสนุก แต่ให้ความมั่นใจยามใช้ความเร็วสูงมากกว่า อัตราประหยัดน้ำมันโดยเฉลี่ยก็ทำได้ไม่เลวที่ 6.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรหรือ 15.38 กิโลเมตรต่อลิตร ถังน้ำมัน 60 ลิตรของรถคันนี้ จึงเพียงพอให้เดินทางได้ไกล 922.8 กิโลเมตร

ช่วงล่างหรือระบบรองรับ
เป็นช่วงล่างที่ผสมผสานความนุ่มและความหนึบอย่างลงตัว ทำได้ทุกอย่างไม่ว่าจะวิ่งบนไฮเวย์ หรือลุยพื้นที่ทุรกันดาร เพราะ มีโหมด Terrain Response ที่สามารถปรับแต่งการกระจายแรงบิดให้เข้ากับภูมิประเทศได้ สามารถปรับตามลักษณะถนนแบบต่างๆ ได้ จึงไม่ต้องกังวลว่ามันจะไปไม่เป็นเวลาขับบนถนนที่มีสภาพแตกต่างกัน ประสิทธิภาพการลุยหากติดตามรายการ Top Gear หรือรายการที่เกี่ยวกับการทดสอบรถยนต์อื่นๆ ก็จะเห็นได้ว่ามันยังมีประสิทธิภาพการลุยพื้นที่ทุรกันดารได้ดีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหน้าผาหรือทะเลทราย ลุยน้ำลุยโคลนลุยหิมะ แม้จะมีหน้าตาค่อนข้างสำอางค์ คือถ้าคุณไม่รู้สึกเสียดายกับรูปลักษณ์ที่สวยงามของมันก็พาไปลุยได้เลยในทุกรูปแบบ สำหรับการวิ่งบนทางหลวงการทรงตัวเวลาเข้าโค้งมีความมั่นคงไม่รู้สึกเลยว่าเป็นการเข้าโค้งของ SUV ที่มีน้ำหนักถึง 1,715 กิโลกรัม มันรู้สึกมั่นคงกว่ารถเก๋งซีดาน D-Segment ของญี่ปุ่นแน่นอน พวงมาลัยมีน้ำหนักเหมาะสมสัมพันธ์กับความเร็ว ระบบความปลอดภัยก็จัดเต็มติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า ที่ขาด้านคนขับ ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้างรอบทิศทางทั้งแถวหน้าแถวหลัง ทั้งยังมีระบบตรวจจับหลุมบ่อและสิ่งกีดขวางบนพื้นถนนอีก แถมมีระบบช่วยเหลือในการขับขี่สารพัด ประสิทธิภาพเบรคไว้ใจได้โดยสามารถหยุดความเร็วจาก 100-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในระยะ 128 ฟุต หรือ 39 เมตร เท่านั้น

สรุป
เป็นรถครอบครัวที่ใช้งานได้ดีมีความเอนกประสงค์ สมรรถนะดีประหยัดน้ำมันในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ข้อเสียอย่างเดียวคือการออกแบบปุ่มเปลี่ยนเกียร์เท่านั้น

ดู FULL SPECIFICATION

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557

รีวิว Ford Fiesta Ecoboost Sport AT 5 ประตู

นับเป็นแฮทช์แบ็คที่น่าจับตามองอีกรุ่นหนึ่งกับขุมพลังระดับโลก Ecoboost 3 สูบ 1.0 ลิตร ที่ให้พละกำลังเทียบเท่ากับเครื่องยนต์ 1.5-1.6 ลิตร และวันนี้กับ Ford Fiesta Ecoboost Sport ราคา 754,000 บาท จะตอบโจทย์ลูกค้าได้มากแค่ไหน ก็ต้องลองมาดูกัน

รูปลักษณ์ภายนอก
Ford Fiesta Ecoboost

ท้าย Ford Fiesta Ecoboost
มีเส้นสายโฉบเฉี่ยวมากขึ้น ติดตั้งสเกิร์ตมาให้ที่ด้านหน้าและด้านท้าย ใช้ล้อแม็กลายใหม่ขนาด 16 นิ้ว กระจังหน้าดูคล้ายรถสปอร์ตแดนผู้ดีอย่าง Aston Martin ที่ Ford เคยเป็นเจ้าของอยู่พักหนึ่ง ปัจจุบันไม่มีความเกี่ยวดองอะไรกันแล้ว มิติตัวรถ กว้าง*ยาว*สูง เท่ากับ 1,722*3,950*1,454 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,489 มิลลิเมตร ระยะช่วงล้อคู่หน้า 1,473 มิลลิเมตร ล้อคู่หลัง 1,460 มิลลิเมตร น้ำหนักรถเปล่า 1,127 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 43 ลิตร เป็นขนาดมาตรฐานสำหรับแฮทช์แบ็ค B-Segment โดยทั่วไป

ภายใน
มีการเปลี่ยนแปลงจาก Fiesta รุ่นก่อนหน้านี้ เพียงเล็กน้อย เบาะนั่งตกแต่งให้ดูมีอารมณ์สปอร์ตขึ้น มาตรวัดเป็นแบบไร้กรอบกระจกแบ่งเป็นช่องวัดความเร็วอยู่ด้านขวา ช่องวัดรอบเครื่องอยู่ด้านซ้าย ตรงกลางเป็นจอแสดงผลสถานะต่างๆ ของรถยนต์ มีเครื่องเสียงแบบ CD mp3 และมีระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC มาให้ด้วย ห้องโดยสารด้านหลังอาจจะรู้สึกแคบไปนิดสำหรับคนตัวใหญ่ แต่สำหรับผู้โดยสารด้านหน้าและคนขับถือว่ามีพื้นที่ให้อย่างพอเพียง ทัศนะวิสัยด้านหน้ามองเห็นได้ชัดเจนดี ทัศนะวิสัยด้านหลังอาจมีปัญหาเล็กน้อยเมื่อมีผู้โดยสารนั่งอยู่อาจมีการบดบังทัศนะวิสัยด้านหลังอยู่พอสมควร การเก็บเสียงของห้องโดยสารที่ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่ายังทำได้ไม่ค่อยดี โดยมีเสียงเล็ดลอดเข้ามาถึง 68 เดซิเบล และในระดับความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ยังมีเสียงถึง 66 เดซิเบล ทำได้แย่กว่า Mitsubishi Lancer EX 1.8 ลิตรซะอีก คงเป็นเพราะค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่มากกว่าที่ค่า Cd เท่ากับ 0.331 ส่วน EX มีค่า Cd เพียง 0.29 คงเป็นเพราะเรื่องเช่นนี้กระมังที่ทำให้ Fiesta ตัวถังต้านลมมากกว่าจึงเกิดเสียงมากกว่า แต่เสียงเครื่องยนต์และเสียงล้อที่หมุนไปกับถนนก็น่าจะมีส่วนอยู่ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ไม่อยากจะเชื่อคือรถคันเล็กกว่าแต่ออกแบบมายังไงให้มันต้านลมมากกว่ารถ C-Segment ถ้าเป็นเพราะเครื่องก็ยิ่งไม่อยากเชื่อว่าเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร 3 สูบจะเสียงดังกว่า 1.8 ลิตร 4 สูบ ถ้าเป็นเพราะล้อก็คงต้องโทษยาง แต่วัสดุที่ใช้บุห้องโดยสารเก็บเสียงได้แย่กว่าและแรงเสียดทานอากาศที่มากกว่าน่าจะเป็นปัจจัยที่สมเหตุสมผลที่สุด แต่เรื่องนี้สามารถปล่อยผ่านไปได้เพราะรถมันอยู่คนละระดับกันราคา Lancer EX ก็แพงกว่ากันเป็นแสน

สมรรถนะเครื่องยนต์และอัตราเร่ง
ก็อย่างที่บอกเครื่องยนต์บล็อกเล็ก 3 สูบ 1.0 ลิตรเทอร์โบบล็อกนี้ให้กำลังจัดจ้านเกินพิกัดมาก 125 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 170 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400-4,500 รอบต่อนาที เป็นอะไรที่แรงเกินตัวมาก รถคันนี้ยังปรับสมดุลของข้อเหวี่ยงให้กระจายแรงเหวี่ยงไปยังทิศทางที่ถูกต้องภายในห้องเครื่อง ทำให้เครื่อง 3 สูบของ Fiesta Ecoboost เดินเรียบ มีความสมดุล ไม่สั่นเหมือน 3 สูบของ Eco Car จากค่าย Mitsubishi กับ Nissan ที่ลูกสูบทั้ง 3 ยังทำงานได้ไม่สมดุลดีพอ เครื่องยนต์ของ Ford ตัวนี้ ส่งให้รถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 10.5 วินาที อัตราเร่งแซง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 7.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 192 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ถ้าเป็นรุ่นซีดานจะทำได้ถึง 198 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) และการวิ่งทางตรง 1 กิโลเมตรสามารถทำได้ภายใน 32.3 วินาที ความเร็วจบที่ 162.1 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือเป็นรถแฮทช์แบ็ค B-Segment ที่ทำสมรรถนะอัตราเร่งได้ดีที่สุดในขณะนี้ ตัวเลขเทียบได้กับรถซีดาน C-Segment 1.8 ลิตรนู่นเลยทีเดียว เป็นเพราะตัวรถที่เบากว่าเมื่อเทียบแรงม้าต่อน้ำหนักจึงได้สัดส่วนที่ดีกว่านั่นเอง ส่วนอัตราประหยัดน้ำมันทำได้โดยเฉลี่ย 18.6 กิโลเมตรต่อลิตร

ช่วงล่างและระบบรองรับ
ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบกึ่งอิสระทอร์ชั่นบีม ที่เซ็ตมาได้อย่างลงตัวระหว่างความนุ่มกับความหนึบ ให้สมดุลที่ดีเวลสเข้าโค้ง เป็นช่วงล่างที่ดีพอๆ กับ Chevrolet Sonic ที่นับได้ว่าช่วงล่างดีที่สุดในรถกลุ่ม B-Segment และอาจจะดีกว่าช่วงล่างของ C-Segment อย่าง Honda Civic FD ด้วยซ้ำ นั่นแหละ Ford Fiesta Ecoboost รุ่นนี้ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน แต่ด้วยน้ำหนักรถที่ถือว่าเบามาก และค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่ถือว่ามากพอสมควร ทำให้เวลาขับที่ความเร็วสูงเกิน 170 อาจมีความรู้สึกสั่นโคลงอย่างชัดเจน และพวงมาลัยนี่เซ็ตมาอย่างเบาทำให้เวลาขับด้วยความเร็วสูงต้องตั้งสมาธิกับการจับพวงมาลัยอยู่พอสมควร ส่วนประสิทธิภาพเบรคถือว่าไว้ใจได้โดยการจะหยุดความเร็วจาก 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปจนหยุดนิ่งใช้ระยะ 41.7 เมตร ดีกว่า Honda Jazz ที่ทำได้ 43.2 เมตร

สรุป
จุดดี: เป็นรถที่สมรรถนะดีทั้งเครื่องยนต์และช่วงล่างแถมยังประหยัดน้ำมัน
จุดด้อย: พื้นที่ใช้สอยในห้องโดยสารยังไม่ค่อยลงตัว การเก็บเสียงจากภายนอกสู่ห้องโดยสารทำได้ไม่ดี

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เปรียบเทียบ Nissan Sylphy 1.8V VS. Mitsubishi Lancer EX 1.8 GLS LTD.


ซีดาน C-Segment กลุ่มรถที่ตอบโจทย์ได้อย่างหลากหลาย ลูกค้าบางกลุ่ม ต้องมีรถประเภทนี้ไว้ซักคันหนึ่ง แม้ว่าจะมีรถหรูรถแพงไว้อยู่แล้วก็ตาม รถกลุ่มนี้จึงเป็นรถกลุ่มมาตรฐานมีหลากหลายยี่ห้อให้เลือก ในพิกัดความจุ 1.6, 1.8 และ 2.0 ลิตร วันนี้ขอยกมา 2 ยี่ห้อ ในพิกัด 1.8 ลิตร โดยเริ่มการเปรียบเทียบที่

รูปลักษณ์ภายนอก
Nissan Sylphy
ดีไซน์เรียบหรูภูมิฐาน มีส่วนคล้ายกับ ซีดาน D-Segment ของค่ายอย่าง Nissan Teana เหมือนกับเป็นพี่น้องฝาแฝด ทั้งไฟหน้าและไฟหลังของ Sylphy ประดับไปด้วยหลอดไฟ LED รวมแล้วถึง 54 จุด ให้แสงสว่างอย่างสวยงามในยามค่ำคืน จึงมองดูหรูหราไม่แพ้รถที่มีราคาแพงกว่า

Mitsubishi Lancer EX
รูปทรงภายนอกดุดันคมเข้ม มีความคล้ายคลึงกับสายพันธุ์ Evolution อย่าง Lancer Evolution X หากไม่สังเกตดีๆ แทบแยกไม่ออกว่าคันไหน EVO คันไหน EX และถ้า Lancer EX คันนี้เสริมชุดแต่งเข้าไปอีกจะดูโดดเด่นเป็นพิเศษ

ภายใน
สำหรับ Sylphy ภายในตกแต่งแบบเรียบง่ายดูแล้วสบายตา ในขณะที่ห้องโดยสารก็กว้างขวาง มองผ่านกระจกออกไปข้างนอกแล้วรู้สึกโปร่ง นั่งอยู่ข้างในจึงรู้สึกโล่งสบาย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมีมาให้อย่างพอเพียงแต่ยังขาดความหลากหลาย ส่วน Lancer EX จะติดตั้งเบาะนั่งต่ำลงมาเล็กน้อย ลักษณะแบบรถสปอร์ต มุมมองด้านใต้กระโปรงหน้าอาจถูกบดบังไปบ้าง ภายในตกแต่งแบบเรียบง่ายแต่ลงตัวแฝงไปด้วยอารมณ์แบบรถสปอร์ต ถึงแม้ห้องโดยสารจะไม่หว้างขวางเท่า Sylphy แต่โดยรวมก็ไม่รู้สึกว่าแคบหรืออึดอัดแต่ประการใด ในขณะที่การเก็บเสียงในห้องโดยสารที่ความเร็ว 60 กม./ชม. Sylphy มีเสียง 62 เดซิเบล EX 56 เดซิเบล ส่วนในระดับความเร็วอื่นๆ เป็นดังนี้

80 กม./ชม. Sylphy 65 เดซิเบล EX 61 เดซิเบล
100 กม./ชม. Sylphy 67 เดซิเบล EX 63 เดซิเบล
120 กม./ชม. Sylphy 69 เดซิเบล EX 68 เดซิเบล

เทียบกันแล้ว Lancer EX ที่บางคนพูดว่าห้องโดยสารเก็บเสียงไม่ค่อยดีแต่ตัวเลขออกมานับว่าดีกว่า Sylphy อยู่นิดหน่อย แต่ถ้ารถสองคันขับช้าลงหน่อยจะเป็น Lancer EX ที่เก็บเสียงได้ดีกว่าถึง 4 เดซิเบล

สมรรถนะเครื่องยนต์และอัตราเร่ง
รถทั้งสองคันมีแรงม้าต่างกันไม่มากนัก Sylphy มี 131 แรงม้า ส่วน EX มี 139 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็น Sylphy ทำได้ดีกว่าที่ 11.9 วินาที ส่วน Lancer EX ทำได้ 12.8 วินาที ช้ากว่ากันเกือบ 1 วินาที แต่อัตราเร่ง 0-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็น Lancer EX ทำได้ดีกว่าที่ 23.4 วินาที ส่วน Sylphy ทำได้ 23.7 วินาที และอัตราเร่งแซง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง Lancer EX อยู่ที่ 8.4 วินาที ส่วน Sylphy ทำได้ 8.7 วินาที ในขณะที่การวิ่งทางตรงระยะทาง 1 กิโลเมตร Sylphy ทำได้ 33.5 วินาที ความเร็วจบที่ 157.1 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วน Lancer EX ทำได้ 33.9 วินาที โดยความเร็วจบที่ 162.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วสูงสุดเท่ากันที่ 195 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

อัตราประหยัดน้ำมันหากเดินทางด้วยความเร็วคงที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็น Sylphy ประหยัดกว่าที่ 13.4 กิโลเมตรต่อลิตร ส่วน Lancer EX ทำได้ 11.2 กิโลเมตรต่อลิตร

สรุปให้สั้นๆก็คือ Sylphy ได้เปรียบในเรื่องความเร็วต้นและอัตราประหยัดน้ำมัน ส่วน Lancer EX จะได้ในเรื่องความเร็วปลายและอัตราเร่งแซง ซึ่งความรู้สึกในการขับขี่นั้นเป็น Lancer EX ที่ขับสนุกกว่าเวลาคิ๊กดาวน์แต่ละครั้งมีแรงฉุดแรงดึงให้รู้สึกมากกว่า ส่วน Sylphy อัตราเร่งจะเป็นแบบขึ้นไปอย่างต่อเนื่องเน้นความนุ่มนวล

ช่วงล่างหรือระบบรองรับ
Lancer EX มีช่วงล่างที่รู้สึกกระด้างในระดับหนึ่งแต่ไม่ถึงกับเด้งเป็นสันนิบาต การเกาะถนนทำได้อย่างดีเยี่ยม จนอาจจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงล่างของ BMW Series 3 (E90) ที่ทั้งความกระด้างและความเกาะถนนรู้สึกคล้ายคลึงกันมาก ส่วน Sylphy จะเป็นช่วงล่างแบบขับนิ่มและนั่งสบาย แต่ความหนึบแน่นก็ยังพอใช้ได้ มีความมั่นคงและบังคับควบคุมง่าย ส่วนระบบเบรคเป็น Lancer EX มีระยะเบรคสั้นกว่าที่ 100-0 กม./ชม. ใช้ระยะเบรค 43.2 เมตร ส่วน Sylphy ทำได้ 44.2 เมตร แต่ถ้าขับไม่เกิน 80 กม./ชม.แล้วเบรคจนหยุดนิ่ง เป็น Sylphy ที่ทำได้ดีกว่า 27.5 เมตร Lancer EX ทำได้ 28.9 เมตร

สรุป
เป็นรถที่สมรรถนะทัดเทียมกันในแทบทุกด้าน ซึ่งทั้งคู่มีแนวทางแตกต่างกันอย่างชัดเจนแสดงออกมาจากทั้งรูปลักษณ์ภายนอก การตกแต่งภายใน และความรู้สึกในการขับขี่ Sylphy เหมาะสำหรับคนที่ชอบความเรียบหรูขับสบาย Lancer EX เหมาะสำหรับคนขับรถห้าว มีบุคลิกแฝงความเป็นรถสปอร์ต ซึ่งสุดท้ายคงต้องมาตัดสินกันที่ราคาและออปชั่น Lancer EX มีราคา 879,000 บาท Sylphy มีราคา 899,000 บาท ก็นับว่าต่างกันไม่มากเพียง 20,000 บาท และดูออปชั่นอุปกรณ์ต่างๆ ถือว่าไม่ต่างกันมากมาย บางอย่างไม่จำเป็นต้องมีด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม คงเป็น Mitsubishi ที่ขยันแจกเป็นว่าเล่นจนรถทุก Segment คิดราคาคำนวณออกมาแล้วอาจจะถูกกว่ายี่ห้ออื่นทุกยี่ห้อ เรื่องบริการหลังการขายความน่าเชื่อถือของศูนย์บริการยังคงวัดไม่ได้ เพราะ ศูนย์ต่างพื้นที่ก็มีบริการที่แตกต่างกัน บางที่ก็ดีบางพื้นที่ก็ไม่ดี case ต่างๆ มันก็แล้วแต่ แต่ละกรณีไป จะมาเหมารวมทั้งหมดไม่ได้ ในด้านนี้จึง no comment แต่เท่าที่ประสบพบเจอมากับตัวเองทั้งศูนย์ Nissan กับ Mitsubishi ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ Mitsubishi ไปแค่เบิกอะไหล่เท่านั้น ส่วนการซ่อมส่วนใหญ่จะซ่อมอู่นอก ส่วน Nissan ไม่เคยซื้อใช้ เคยแต่ลองขับ จึงฟังมาจากเจ้าของรถอีกที สรุปว่ายังไม่เคยเจอปัญหาอะไรจากทั้งสองค่าย

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Chevrolet Corvette Stingray มาตรฐานที่ส่งต่อมา 7 Generations

Chevrolet Corvette Stingray (C7)
Corvette ที่วางขายมาแล้ว 7 รุ่น มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่า 61 ปี (1953-Present) ผ่านช่วงเวลาต่างๆ มามากมาย มาครั้งนี้ Corvette Stingray รหัส C7 ได้พัฒนาขึ้นมาจาก C6 รุ่นก่อนอยู่มากพอสมควร แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ความเป็น Corvette ไว้อย่างดีเยี่ยม ครั้งนี้ขอรีวิว Corvette Stingray ตัวมาตรฐาน เกียร์ธรรมดา 7 สปีด เริ่มต้นด้วย

รูปลักษณ์ภายนอก
มีดีไซน์สวยงามและดูมาดเข้มขึ้นเยอะ มีการผสมลายเส้นที่คมกริบกับเหลี่ยมสันได้อย่างลงตัว และยังแฝงไปด้วยความอ่อนช้อย ดูไปดูมาก็คล้าย Ferrari F12 Berlinetta อยู่เหมือนกัน

Ferrari F12 Berlinetta
ด้านท้ายเปลี่ยนไปใช้ไฟเบรคคู่หลังแบบหกเหลี่ยม ต่างจากรุ่นก่อนที่เป็นทรงโดนัท

ท้าย Corvette Stingray
และท่อทั้งสี่ที่เคยแยกกันอยู่ซ้ายขวาด้านละคู่ ใน C7 ก็นำมันมาประกบติดกันอยู่ตรงกลาง รูปลักษณ์ภายนอกจะสวยกว่ารุ่นก่อนหรือไม่ก็แล้วแต่คนจะมอง แต่โดยส่วนตัวคิดว่าดูลงตัวขึ้น

ภายใน
มันยังเป็น Corvette อยู่เหมือนเดิมที่ยังไม่ค่อยเน้นคุณภาพในด้านนี้ วัสดุยังเป็นพลาสติกราคาถูก ถึงแม้บางจุดจะใช้วัสดุที่ดีขึ้นก็ตามแต่ก็ถือว่ายังไม่น่าพอใจเท่าที่ควร หน้าจอและปุ่มสัมผัสต่างๆ ให้ความรู้สึกหยาบๆ แต่สำหรับเบาะนั่งโครงแมกนีเซียม ของมันก็รู้สึกเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไปอีกแบบ อุปกรณ์ภายในก็ยกตัวอย่างเช่น จอ LCD ขนาด 8 นิ้ว หน้าจอและปุ่มต่างๆ ดูแล้วเหมือนนั่งอยู่ในเครื่องบินเจ็ท โดยทุกหน้าจอก็พร้อมที่จะแสดงข้อมูลการขับขี่ต่างๆให้ เช่น การแสดงภาพล้อกราฟฟิก การแสดงโหมดการขับขี่ที่มีถึง 5 โหมด คือ Weather, Eco, Tour, Sport และ Track

เครื่องยนต์
เป็นเครื่องยนต์ V8 6,162 CC. ให้กำลังสูงสุด 466 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 630 นิวตัน/เมตร ที่ 4,600 รอบต่อนาที เมื่อเทียบแรงม้ากับน้ำหนักรถ 1,539 กิโลกรัม จะได้แรงม้าต่อน้ำหนักที่ 302.79 แรงม้าต่อตัน แต่เมื่อเทียบกับความจุแล้วทำได้เพียง 75.16 แรงม้าต่อลิตร ต้องบอกว่าน่าผิดหวังที่เครื่องยนต์ V8 6.2 ลิตร ทำแรงม้าได้แค่นี้ อย่างไรก็ตามมันก็ยังสร้างสมรรถนะที่น่าพอใจ โดยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 4.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 290 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันยังจัดว่าโหดอยู่โดยขนาดวิ่งที่โหมดใช้ลูกสูบเพียง 4 สูบ ยังมีอัตราประหยัดน้ำมันที่ 7.4 กิโลเมตรต่อลิตร รถคันนี้มีความจุถังน้ำมัน 70 ลิตร ทำให้ทราบพิสัยการเดินทางว่าอยู่ที่ 518 กิโลเมตร เมื่อขับโดยใช้ลูกสูบ 4 สูบ แล้วคิดดูว่าถ้าใช้ 8 สูบ อัดเต็มที่จะเปลืองขนาดไหน รู้สึกว่าตัวเลขที่ระบุไว้จากโรงงานมันจะคลาดเคลื่อนไปหมด ทั้งอัตราประหยัดน้ำมันที่ระบุไว้ 9.4 กิโลเมตรต่อลิตร และความเร็วสูงสุดเกิน 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นี่ตกลงขี้โม้ใช่ไหม GM ยังมีอะไรน่าเชื่อถืออยู่บ้าง? แต่ก็เอาเถอะข้อมูลเชิงปริมาณมันก็ไม่ได้บ่งบอกคุณภาพทั้งหมดของตัวรถ เพราะในการขับขี่นั้นเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะของ Corvette Stingray คันนี้เชื่อมประสานกำลังจากเครื่องยนต์สู่ล้อได้อย่างกับเทวทูตเชื่อมต่อกับพระเจ้า เกียร์ส่งกำลังได้อย่างราบรื่น และสามารถทำให้รู้สึกได้ว่าหากอยากจะทำอัตราเร่ง 0-100 ให้ดีกว่า 4.2 วินาที ก็สามารถทำได้ หากควบคุมการหมุนฟรีของล้อหลังไว้ดีๆ ในขณะที่เรื่องความเร็วสูงสุดไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไหร่ รถที่ใช้แข่งในสนามบางประเภทยังเซ็ทความเร็วสูงสุดไม่เกิน 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น ไม่ใช่เพราะแค่กฎการแข่งขัน แต่การจำกัดความเร็วสูงสุดยังมีนัยยะในการสร้างสมดุลให้กับรถ เพราะฉะนั้นความเร็วสูงสุดเพียง 290 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงไม่นับว่าสร้างปัญหาเท่าไหร่กับการจะนำ Corvette Stingray คันนี้ไปลงแข่งในสนาม

ช่วงล่างหรือระบบรองรับ
ในด้านนี้ถือเป็นสิ่งที่น่าชมเชย ถึงแม้ช่วงล่างด้านหลังมันจะเป็นแหนบแบบที่ใช้ในรถกระบะก็ตาม แต่แหนบของ Corvette คันนี้มีรายละเอียดยิบย่อยที่ต่างออกไป จึงทำให้มันรองรับแรงสั่นสะเทือนหรือแรงกระแทกได้ดีแม้จะยังไม่ถึงกับดีเลิศก็ตาม และการควบคุมการเข้าโค้งถือว่าทำได้ดีกว่า C6 รุ่นก่อนหน้านี้หลายขุม โดยมันสามารถเข้าโค้งได้เนียนและนิ่งขึ้น เพราะฐานล้อยาวขึ้น และช่วงระยะห่างระหว่างล้อซ้ายขวากว้างขึ้น กว่ารุ่นก่อนทำให้การขับขี่ของ Corvette รุ่นนี้ รู้สึกมั่นคงขึ้น อย่างน้อยในตอนนี้มันก็ลบความคิดเก่าๆ ที่ว่า Corvette ขับดีเฉพาะกับทางตรงออกไปได้แล้ว เรียกว่าช่วงล่างของ Corvette C7 รุ่นนี้ ดีที่สุดเท่าที่ Chevrolet เคยผลิตรถรุ่น Corvette นี้มา ดีพอจะเทียบชั้นได้กับช่วงล่างของรถสปอร์ตจากยุโรปซะที

สรุป
เป็นรถสปอร์ตที่น่าสนใจอีกรุ่นหนึ่งด้วยเพราะราคาถูกกว่ารถในพิกัดความจุเดียวกันอยู่มากมาย ถึงแม้สมรรถนะจะด้อยกว่าในระดับหนึ่ง แต่เอาเข้าจริงๆ สามารถพลิกชนะกันได้ เสียงเครื่องยนต์ผ่านท่อไอเสียฟังแล้วรู้สึกดังอย่างไพเราะเสนาะหูพอจะเทียบชั้นได้กับเสียง Ferrari F458 Italia ช่วงล่างพัฒนาขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างเดียวคือมันมีระดับราคาใกล้เคียงกับ Nissan GTR R35 ที่ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ 3.8 ลิตร แต่สามารถทำตัวเลขสมรรถนะได้เหนือกว่า อย่างไรก็ตาม Corvette Stingray ในไทย ถือว่าเป็นรถที่ไม่โหล ไม่ได้มีขับกันเกลื่อนถนนอย่าง GTR R35 ซึ่งข้อนี้อาจเบี่ยงเบนความสนใจมาจากลูกค้าบางกลุ่มได้เช่นกัน

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2557

รีวิว Honda Jazz SV+

Honda Jazz
Honda Jazz แฮทช์แบ็ค B-Segment ขวัญใจวัยมันส์ มาในปี 2014 นี้ ยังคงพื้นฐานตัวถังเดิม และสมรรถนะแบบเดิมๆ แต่ยังมีอะไรอีกหลายๆ อย่างที่น่าสนใจและน่าค้นหาสำหรับ Jazz รุ่นล่าสุดนี้ ครั้งนี้จะขอรีวิว Jazz รุ่นท็อป SV+ ราคา 754,000 บาท มาเริ่มกันที่

รูปทรงภายนอก
ยังมีความคล้ายคลึงกับรุ่นก่อนหน้านี้แบบพิมพ์เดียวกันเป๊ะ แต่เปลี่ยนกระจังหน้าให้ดูมาดสปอร์ตขึ้นเล็กน้อย ด้านท้ายรถมีความคล้ายคลึงกับ CRV มองผ่านๆ เหมือนจะเป็น CRV ย่อส่วน

ท้าย Honda Jazz
Honda Jazz มีระยะความยาวจากด้านหน้าถึงซุ้มล้อที่สั้น จะช่วยในเรื่องของความคล่องตัวในการกะระยะรถทางด้านหน้า และเมื่อมาดูข้อมูลแล้วจะพบว่า Honda Jazz ที่มีความยาว 3,955 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,530 มิลลิเมตร กลับมีความยาวน้อยกว่า Toyota Yaris ที่ตอนนี้กลายร่างเป็นอีโคคาร์ไปแล้ว โดย Yaris มีความยาว 4,115 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,550 มิลลิเมตร เทียบกันแล้วรู้สึกว่า Jazz จะสั้นกว่าพอสมควรซึ่งก็จะส่งผลดีในเรื่องของความคล่องตัวกับการใช้งานในพื้นที่จำกัด แต่มันจะส่งผลต่อห้องโดยสารภายในแค่ไหนมาดูกันต่อที่

ภายใน
เมื่อเข้ามาดูห้องโดยสารภายใน รถที่ภายนอกดูเล็กแต่ห้องโดยสารดูไม่เล็กอย่างที่คิด ภายในให้ความรู้สึกคล้าย Mini MPV ของค่ายอย่าง Honda Freed กับ Honda Mobilio โดยเฉพาะที่นั่งแถวหลังนี่ต้องบอกว่าออกแบบมาเอาใจผู้โดยสารจริงๆ ส่วนที่นั่งแถวหน้า และส่วนของคนขับก็ยังมีพื้นที่เหลือเฟือ สำหรับผู้ที่มีรูปร่างเล็กถึงปานกลาง แต่สำหรับคนที่สูงเกิน 180 เซนติเมตร และมีรูปร่างค่อนข้างหนา อาจจะรู้สึกอึดอัดหน่อย เบาะหลังสามารถพับแยกแบบ 60:40 ได้ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในรถถือว่าจัดมาเต็มที่เมื่อเทียบกับรถในพิกัดเดียวกัน ทั้งยังมีระบบความบันเทิงเป็นจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รายละเอียดสูง HDMI

เครื่องยนต์
Honda Jazz ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร แรงม้าสูงสุด 117 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 146 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที เหมือนๆ กับ Honda City และยังสามารถรองรับน้ำมัน E85 แรงม้าลดลงจากรุ่นเดิม 3 แรงม้าแต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบมากมาย ความรู้สึกด้านอัตราเร่งยังรู้สึกเหมือน Jazz รุ่นเดิมอยู่ แต่กับการยึดติดแต่กับของเดิมๆ มันก็ออกจะน่าเบื่ออยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม Jazz คันนี้ก็ยังมีอัตราเร่งที่พอจะเรียกได้ว่าขับสนุกเป็นอันดับต้นๆ ของ Segment นี้ แต่เกียร์ CVT ของ Jazz รุ่นนี้ก็ยังถือว่าส่งกำลังได้ไม่เร้าใจเท่า Jazz รุ่นก่อน แต่จะได้ในเรื่องของความนิ่มนวลไม่กระชากกระชั้น สมรรถนะอัตราเร่งของ Jazz ยังถือว่าทำได้ดีพอสมควร โดย 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 11.2 วินาที 0-140 ทำได้ 21.6 วินาที 0-160 ทำได้ 31.6 วินาที อัตราเร่งแซง 60-100 ทำได้ 6.3 วินาที 80-120 ทำได้ 8.2 วินาที ความเร็วสูงสุดบนมาตรวัดประมาณ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สมรรถนะแบบนี้ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว ด้านอัตราประหยัดน้ำมันหากขับความเร็วเฉลี่ย 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะประหยัดน้ำมัน 12.9 กิโลเมตรต่อลิตร และถ้าขับช้าลงไปก็จะมีอัตราประหยัดน้ำมันดังนี้ 100 กม./ชม. ประหยัด 17.1 กม./ลิตร, 80 กม./ชม. ประหยัด 21.9 กม./ลิตร และที่ 60 กม./ชม. จะประหยัด 26.5 กม./ลิตร ก็อย่าให้ต้องถึงขั้นขี้เหนียวขับ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปตลอดเลย ขับความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนี่แหละกำลังพอดี

ช่วงล่างหรือระบบรองรับ
ด้านหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีม ยังคงเน้นช่วงล่างที่นุ่มนวลนั่งสบายมากกว่าจะเน้นความหนึบและการทรงตัวอยู่เช่นเดิมและน่าเสียใจที่ต้องบอกว่าช่วงล่าง Jazz รุ่นปัจจุบันให้ความรู้สึกในการเกาะถนนที่แย่กว่ารุ่นก่อนหน้านี้ แต่ยังไงหากขับไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงยังถือว่าหนึบแน่นปลอดภัยหายห่วง ซึ่ง Honda Jazz ก็มีระบบช่วยเหลือ คือ ระบบควบคุมการทรงตัว Vehicle Stability Assist (VSA) ระบบช่วยออกตัวในทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA) ระบบควบคุมความเร็ว Cruise Control ส่วนเบรค ABS ของ Honda Jazz ก็ถือว่ามีประสิทธิภาพดีพอใช้ได้โดยมีระยะเบรกจาก 100-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 43.2 เมตร เท่ากับ Mitsubishi Lancer EX รุ่น 1.8 ลิตร และย่านความเร็ว 80-0 อยู่ที่ 27.9 เมตร ส่วน 60-0 ใช้ระยะ 16.1 เมตร และ Jazz SV+ รุ่นท็อปยังติดตั้งถุงลมนิรถัยมาให้ทั้งคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย ซึ่งออปชั่นด้านความปลอดภัยถือว่า Honda จัดเต็มมาให้อยู่แล้ว

สรุป

ข้อดีของ Honda Jazz คันนี้คือ พื้นที่ห้องโดยสารจัดสรรได้อย่างลงตัว การใช้งานในเมืองทำได้อย่างคล่องแคล่ว รองรับน้ำมัน E85 จัดเต็มออปชั่นความปลอดภัย

ข้อเสียคือ ช่วงล่างยังไม่หนึบเท่าไหร่ อัตราเร่ง และความเร็วสูงสุด ก็แสนจะธรรมดา และสมรรถนะด้อยกว่า Ford Fiesta Ecoboost

วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Toyota Corolla Altis 1.6E CNG อีกหนึ่งทางเลือกเพื่อการประหยัดน้ำมัน

Toyota Corolla Altis 1.6E CNG
หลายท่านก็คงจะคุ้นเคยกับรถรุ่นนี้อยู่แล้ว ซึ่ง Toyota Corolla Altis รุ่นที่ใช้น้ำมันเบนซิน ก็เป็นรถที่ขับดีและประหยัดพอตัว และ Toyota ยังมีทางเลือกเพื่อความประหยัดเพิ่มเติมเข้าไปอีกคือ รุ่น 1.6E CNG รุ่นนี้ ที่จำหน่ายในราคา 889,000 บาท แล้วรุ่น 1.6E CNG มีอะไรแตกต่างจาก Altis เบนซินบ้าง เริ่มที่

รูปลักษณ์ภายนอก
ยังคงเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีแต่ตัวอักษร 1.6E CNG เท่านั้น ที่จะบอกความแตกต่างระหว่างรุ่นธรรมดา กับรุ่น CNG

ดีไซน์ภายใน
ตกแต่งด้วยโทนสีเบจดูเรียบง่าย ที่แตกต่างจากรุ่นธรรมดา ก็คือไฟแสดงสถานะการใช้แก็ส และปริมาณแก็ส โดยมีปุ่มกดเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิงที่ใช้ ระหว่างแก็สกับน้ำมัน อยู่ทางขวามือตำแหน่งประมาณ 4-5 นาฬิกา ส่วนอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ก็ไม่แตกต่างจาก Altis รุ่นเบนซินมากนัก

เครื่องยนต์
เป็นเครื่องยนต์ที่เรียกว่า Bi-Fuel Type 1 ZR-FE (CNG) 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 122 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 154 นิวตัน/เมตร ที่ 5,200 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแปรผัน 7 สปีด CVT (Super CVT-7) ถังแก็ส NGV จุแก็สได้ 75 ลิตร หรือ 15 กิโลกรัม ผลิตจากโครเมียมโมลีดีนั่มสตีล และท่อส่งแก็สผลิตจากแสตนเลส การมีถังแก็สนี้ต้องแลกกับพื้นที่ห้องสัมภาระด้านหลัง 2 ใน 3 ส่วน ทำให้จุสัมภาระได้น้อยลง และด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากถังแก็สส่งผลให้สมรรถนะอัตราเร่ง และความเร็วจะช้ากว่า Altis รุ่นธรรมดาอยู่ระดับหนึ่ง แต่การส่งผ่านกำลังก็ยังเป็นไปอย่างราบรื่น การเปลี่ยนเชื้อเพลิงจากน้ำมันไปเป็นแก็สก็ทำได้อย่างราบรื่นไม่มีกระตุก แทบไม่รู้สึกถ้าไม่มองที่หน้าปัดก็เกือบจะไม่รู้ว่ารถเปลี่ยนระบบจากน้ำมันเป็นแก็สแล้ว (รถใหม่ยังใช้งานได้ดีก็เป็นเรื่องปกติ แต่ใช้งานไปนานๆ ยังจะราบรื่นเหมือนเดิมรึเปล่าก็ไม่รู้ คงขึ้นอยู่กับการบำรุงรักษาของแต่ละคน แต่ขึ้นชื่อว่า Toyota จึงมั่นใจว่าใช้งานได้นานแน่นอน) สำหรับคนที่ชอบขับเร็วสมรรถนะความเร็วรถคันนี้อาจจะไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่ แต่คิดว่าลูกค้ากลุ่มที่ซื้อรถประเภทนี้ไม่ได้มองเรื่องความเร็วเป็นเรื่องสำคัญอยู่แล้วแต่จะมองเรื่องของความประหยัดมากกว่า ซึ่งก็ถือว่า Altis 1.6E CNG ตอบโจทย์ข้อนี้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยอัตราประหยัดสูงสุดที่เคยทราบคือเมื่อใช้แก็สจะประหยัด 23.23 กิโลเมตรต่อกิโลกรัม โดยราคา NGV อยู่ที่ประมาณ 10.50 บาทต่อกิโลกรัมในวันที่ 16 ตุลาคม 2557 นี้ เท่ากับว่าใช้เงินเพียง 10 บาท 50 สตางค์ ก็สามารถเดินทางได้ไกล 23.23 กิโลเมตร ซึ่งถ้าเทียบกับเชื้อเพลิงประเภทอื่น ในอัตราประหยัดเชื้อเพลิงที่เท่ากัน จะใช้เงินน้อยกว่า 3 เท่า แต่จะจุกจิกกว่าด้านการดูแลบำรุงรักษา ก็ลองคิดคำนวณดูเองว่าแบบไหนจะคุ้มกว่า แต่โดยความเห็นส่วนตัวคิดว่าถ้าขับรถวันละไม่ต่ำกว่า 100 กิโลเมตร รุ่น CNG จะคุ้มกว่า แต่ถ้าไม่ขับรถบ่อยและไม่ขับไกล คือขับไปกลับที่ทำงานไม่กี่กิโลเมตร จะใช้น้ำมันเบนซิน หรือ โซฮอลล์ 91,95 ก็แล้วแต่ รุ่นใช้เชื้อเพลิงระบบเดียว จะเป็นทางเลือกที่คุ้มกว่า

ช่วงล่างหรือระบบรองรับ
แน่นอนว่าตัวรถมีน้ำหนักมากขึ้นจึงต้องเสริมค่า K ของโช็คอัพให้แข็งขึ้น เพราะ ตัวรถมีน้ำหนักเพิ่มจากรุ่นปกติถึง 75 กิโลกรัม จึงทำให้อาจจะรู้สึกกระด้างไปบ้าง แต่ก็ยังจัดว่านุ่มนวลในแบบรถเก๋ง ไม่ได้กระด้างแบบรถบรรทุกหรือรถกระบะ ซึ่งความนุ่มของช่วงล่างถือว่าพอรับได้ถ้าเทียบกับรถสปอร์ตก็ยังถือว่านุ่มกว่า ถ้าเทียบกับรถซีดานด้วยกัน ก็ถือว่ากระด้างกว่านิดหน่อย การยึดเกาะถนนถือว่าทำได้ดีหากใช้ความเร็วไม่สูงมาก แต่อาจจะหวาดเสียวหน่อยถ้าความเร็วเกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมันก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของรถซีดานทั่วไป ซึ่งก็ไม่ต้องคิดอะไรมากเพราะคนที่ซื้อรถรุ่นนี้คงไม่มีจุดประสงค์หลักที่การทำความเร็วไป 140-160 หรอก แต่ถ้าจะทำจริงๆ ระดับนี้ถือว่าสามารถทำได้เช่นกัน เพราะความเร็วแค่นี้สำหรับรถยุคปัจจุบันถือว่าธรรมดามาก และถ้าเข้าโค้งแบบสุดลิมิตจริงๆ จะสามารถทำได้ที่ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างหวาดเสียวแบบโอกาสหลุดโค้ง 50:50 (ขึ้นอยู่กับลักษณะของโค้งด้วย) ซึ่งการทดลองในครั้งนี้เป็นความบังเอิญโดยไม่ตั้งใจ หากขับรถคันนี้ไม่ควรเข้าโค้งในความเร็วเกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจะดีที่สุด

สรุป
เป็นรถที่เน้นความประหยัดมากกว่าเรื่องของสมรรถนะ ช่วงล่างมีความยึดเกาะถนนเพียงพอต่อการใช้งานในย่านความเร็วปกติ แต่ราคา 889,000 บาท กับเครื่องยนต์ความจุ 1.6 ลิตร ราคาแพงกว่า Honda Civic 1.8 i-VTEC S AT ที่มีราคา 835,000 บาท และยังพิกัดความจุมากกว่าที่ 1.8 ลิตร แรงม้ามากกว่าที่ 141 แรงม้า สำหรับผู้ที่ชอบความเร็วแล้วอาจทำให้หยุดคิดนานเลยทีเดียว

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Lexus NX300h CrossOver หรูพลังไฮบริด

Lexus NX300h
Lexus NX300h ถ้าเทียบกับ Range Rover Evoque แล้วรถคันนี้จะมีราคาถูกกว่านิดหน่อย (Lexus รุ่นท็อป F-Sport 4WD เทียบกับ Evoque รุ่นล่างสุด Pure) แต่มองดูแล้วจะรู้สึกเหมือนกับว่าจะคุ้มกว่าเพราะมีขุมพลังไฮบริดให้ใช้ ต่างกับ Evoque ในบ้านเราที่ไม่มีระบบไฮบริด ก็แน่นอนเมื่อต้องการจะเป็นคู่แข่งกัน ทั้งยังมาทีหลัง ก็ควรที่จะทำให้ดีกว่าผู้ที่มาก่อน เพื่อแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากฝ่ายตรงข้าม ซึ่งถ้าพูดถึง Lexus หลายๆ คน อาจจะวางใจที่จะใช้รถยี่ห้อนี้มากกว่า Land Rover เพราะมันสามารถนำไป Service ที่ศูนย์ Toyota ได้บางแห่ง ส่วน Land Rover มีศูนย์อยู่ไม่กี่แห่งในประเทศไทยแถมยังถูกลอยแพโดยบริษัทแม่อีก อย่างไรก็ตามถ้ารถคุณภาพดี บริการหลังการขายดี ลูกค้าก็ยังคงซื้ออยู่เช่นเดิม มาพูดถึง Lexus NX300h นี่ต่อ ก็จะรู้สึกว่ารูปทรงภายนอกดีไซน์ออกไปทางรถสปอร์ต เส้นสายเฉียบคมมีเหลี่ยมสันที่ลงตัว เข้ากับซุ้มล้อและกระจังหน้า มองผ่านๆ แอบนึกถึง Lamborghini Urus ที่ยังไม่วางขายอยู่เหมือนกัน ลองมาเทียบกันดู

Lamborghini Urus
นับว่ามีส่วนคล้ายอยู่พอประมาณ แต่ภายในของ Lexus NX300h จะตกแต่งดูเหมือนรถสมัยเก่านิดนึง บางคนอาจจะชอบ บางคนก็อาจจะไม่ชอบ แล้วแต่รสนิยมส่วนบุคคล ส่วนสเป็คของ Lexus NX300h นั้น จะใช้เครื่องยนต์เบนซินผสมผสานกับระบบไฮบริด เป็นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.5 ลิตร 4 สูบ รหัส 2AR-FXE ให้พละกำลัง 154 แรงม้าที่ 5,700 รอบต่อนาที แรงบิด 206 นิวตัน-เมตร หรือ 152 ปอนด์-ฟุต ที่ 4,400 รอบต่อนาที และถ้าผนวกกับระบบไฮบริดจะมีแรงม้าให้ใช้งานถึง 194 แรงม้า และสำหรับรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อจะมีมอเตอร์คู่หลังช่วยเพิ่มพลังไปอีก 68 แรงม้า ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 9.3 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ค่า Cd อยู่ที่ 0.34 มีอัตราประหยัดน้ำมัน สำหรับรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าอยู่ที่ 18.5 กิโลเมตรต่อลิตร ส่วนรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อจะอยู่ที่ 15.3 กิโลเมตรต่อลิตร Lexus NX300h มีจำหน่ายในประเทศไทยอยู่ 6 รุ่นย่อย ได้แก่

รุ่น Luxury ราคา 2,790,000 บาท
รุ่น Grand Luxury ราคา 2,990,000 บาท
รุ่น Premium ราคา 3,290,000 บาท
รุ่น Premium 4WD ราคา 3,490,000 บาท
รุ่น F-Sport ราคา 3,790,000 บาท
รุ่น F-Sport 4WD ราคา 3,990,000 บาท

วิจารณ์โดย AutoExpress ว่า หากคุณเป็นคนขับรถแบบไม่รีบร้อนมากนัก มันจะรู้สึกว่าอัตราเร่งดี แต่ถ้าเป็นคนเท้าหนักชอบซิ่งจะรู้สึกถึงความอืดได้ชัดเจนกว่า แต่ในด้านคุณภาพการประกอบและความคุ้มค่าแล้ว รถคันนี้ทำได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ในรถกลุ่มเดียวกัน ถึงแม้มันจะปล่อยมลภาวะมากกว่าที่คิดก็ตาม นี่เป็นการวิจารณ์ของสื่อรถยนต์ในต่างประเทศซึ่งอาจจะสามารถประยุกต์ใช้กับบ้านเราได้บางส่วน และในเรื่องความคุ้มค่าบ้านเราคงจะคุ้มค่ากว่ารถยุโรป เพราะอัตราภาษีของรถญี่ปุ่นที่คาดว่าน่าจะถูกกว่า แถมศูนย์บริการมากกว่า สำหรับในด้านนี้อาจจะเพิ่มคะแนนด้านความคุ้มค่า จากรีวิวของ AutoExpress มากขึ้น สำหรับในประเทศไทย

ด้านหลังก็ยังมีดีไซน์โฉบเฉี่ยว

Chevrolet Impala รถจับฉ่ายแห่งเมืองมะกัน

Chevrolet Impala
Chevrolet Impala รถ Full-Size Sedan จากอเมริกาคันนี้ หากจะเทียบกับรถบ้านเราคงจะอยู่ใน D-Segment ร่วมกับ Toyota Camry, Honda Accord, Nissan Teana แต่ถ้านำเข้ามาไทยจริงๆ ราคาอาจพุ่งพรวดไปอยู่ที่ระดับเดียวกับ Mercedes-Benz CLA 250 ก็ได้ แต่รถรุ่นนี้ในเมืองไทยไม่ค่อยมีใครสนใจนำเข้า แม้แต่ผู้นำเข้าอิสระก็ตาม เหตุเพราะมันเป็นรถที่ไม่มีความโดดเด่นพอ หากนำเข้ามาลูกค้าก็คงจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ ถ้าพูดถึงรูปทรงภายนอก มาขับแถวบ้านเราคนก็คงจะนึกว่าเป็น Chevrolet Cruze รุ่นใหม่เหรอแค่นั้นเอง ซึ่งเอาจริงๆ เราก็ยังไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาของ Chevrolet Cruze ที่มีแผนจะเปิดตัวในปี 2015 ตัวจริงเลย แต่ถ้าจะมโนรูปร่างหน้าตา Cruze อาจจะออกมาแนวเดียวกับ Impala ก็ได้ สังเกตดูถ้า Chevy ผลิตรถออกมา Generation หนึ่งแล้ว ดีไซน์กระจังหน้าจะดูคล้ายๆ กัน ทั้ง Trailblazer กับ Colorado และมาที่ Sonic กับ Captiva ที่กระจังหน้าและรูปทรงไฟหน้าคล้ายกัน เพียงแต่ของ Sonic เป็นไฟหน้าแบบเปลือย แล้ว Cruze ล่ะ จะจับคู่กับอะไรดี? ก็อาจจะเป็น Impala ก็ได้ ซึ่ง Impala คันนี้ กระจังหน้าดูไปคล้ายกับ Chevy Colorado รุ่นใหม่ล่าสุดที่วางขายในอเมริกาในตอนนี้เหมือนกัน กระจังหน้ามีดีไซน์คล้ายกันแต่ของ Impala ดูแคบและเล็กกว่า ไฟคู่หน้ามีแอบคล้าย Honda Accord อยู่นิดๆ เอาเป็นว่าดีไซน์ภายนอกมันก็ดูสวยแบบเรียบๆ เหมือนกับซีดาน D-Segment บ้านเรา แล้วสเป็กทางเทคนิคก็ดูแล้วเจ๋งใช้ได้ถึงแม้จะมีแต่เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ให้เลือก โดยขุมกำลังที่ใช้มีอยู่ 3 ขนาด คือ เครื่องยนต์ 4 สูบ 2.4 และ 2.5 ลิตร และเครื่องยนต์ V6 สูบ 3.6 ลิตร Flex-Fuel ซึ่งทั้ง 3 รุ่นมีตัวเลขสเป็ค ดังนี้

เครื่อง 2.4 ลิตร มี 182 แรงม้า ที่ 6,700 รอบต่อนาที แรงบิด 233 นิวตัน-เมตร ที่ 4,900 รอบต่อนาที อัตราประหยัดน้ำมัน 14.88 กิโลเมตรต่อลิตร บนไฮเวย์

เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 195 แรงม้าที่ 6,700 รอบต่อนาที แรงบิด 254 นิวตัน-เมตร ที่ 4,900 รอบต่อนาที อัตราสิ้นเปลืองไม่ระบุ

เครื่องยนต์ V6 3.6 ลิตร มี 305 แรงม้าที่ 6,800 รอบต่อนาที และแรงบิด 358 นิวตัน-เมตร ที่ 5,200 รอบต่อนาที อัตราประหยัดน้ำมัน 8.08 กิโลเมตรต่อลิตร ในเมือง และ 12.33 กิโลเมตรต่อลิตร บนไฮเวย์

ตัวเลขดูแล้วแรงใช้ได้ แล้วสาเหตุที่เรียกมันว่ารถจับฉ่ายเพราะอะไร? ก็เพราะว่าที่อเมริการถคันนี้ถูกนำไปใช้งานทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น Taxi, รถตำรวจ, รถประจำบริษัท, รถบ้าน หรือ แม้กระทั่งรถของแก๊งค้ายา เพราะ ใช้แล้วมันดูไม่โดดเด่น ชาวอเมริกันใช้กันทั้งบ้านทั้งเมือง และต้องยอมรับว่า Chevy Impala ที่ผลิตออกจำหน่ายในอเมริกามาแล้ว 10 Generations นี้ มันขายดีขายคล่องจริงๆ ถ้าให้เทียบกับบ้านเรามันมีสถานะไม่แตกต่างจาก Toyota Corolla Altis เลยจริงๆ ฉะนั้นคำว่าจับฉ่ายที่ผมพูดถึงจึงหมายถึงคำชมไม่ใช่คำด่า เปรียบเทียบกับนักฟุตบอลก็จะเหมือนกับอดีตนักเตะ แมนฯยู John O'Shea ที่เล่นได้สารพัดตำแหน่ง Chevrolet Impala ก็เหมาะที่จะใช้งานได้อย่างหลากหลายเช่นกัน

ด้านท้ายเส้นสายดูสปอร์ตมากกว่าด้านหน้า

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2557

รีวิว Peugeot 408 รถที่มีคุณภาพดีคันหนึ่ง..แต่?

Peugeot 408
Peugeot 408 รถจากค่ายสิงห์ผยอง ที่เปิดตัวมาได้ 2 ปีกว่าแล้ว แล้วทำไมเพิ่งจะมารีวิวเอาวันนี้ ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะ เพิ่งจะนึกถึงรถรุ่นนี้ได้แค่นั้นเอง แต่ถ้าใครได้เห็นราคาของมันเข้าอาจจะมีเผลอใจไปกับมันบ้าง รถยุโรป C-Segment ราคาล้านต้นๆ นี่เอง ราคาพอๆกับ C-Segment รุ่นท็อปของญี่ปุ่น ที่มีราคาล้านต้นๆ เช่นกัน จะว่าไปยี่ห้อนี้ก็ไม่รู้จะเอายังไง จะขายราคาแพงทำเป็นรถหรู ก็สู้แบรนด์จากเยอรมัน อย่าง Mercedes-Benz กับ BMW ไม่ได้ พอขายราคาถูกก็มาชนกับรถญี่ปุ่นซึ่งค่าบำรุงรักษาถูกกว่า ซึ่งเห็นบางคนบอกว่าต่อให้ Peugeot ขายราคา 8 แสนก็ไม่ซื้อนี่แสดงว่าค่าบำรุงรักษาโหดเอามากๆ ทั้งๆที่รถคุณภาพไม่ได้แย่เลย กลับไม่ค่อยมีใครกล้าที่จะใช้มัน มีเพียงกลุ่มที่ชอบความแตกต่างใช้ของไม่ซ้ำใครเท่านั้น ถึงจะตัดสินใจซื้อรถคันนี้ ซึ่งถ้าซื้อแล้วก็คงต้องเก็บไว้กับตัวนานๆ เพราะ ถ้าจะขายทีนี่ขายยากมาก และราคาก็ตกแบบบรรลัย ซื้อมาเป็นล้านใช้ไม่ถึง 2 ปี ราคาตกไปกว่าครึ่ง ซึ่งเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นกับรถฝรั่งเศสทุกยี่ห้อ ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น Peugeot, Renault และ Citroen จนบัดนี้เหลือเพียง Peugeot กับ Citroen ส่วน Renault เจ๊งไปจากเมืองไทยเราแล้ว ซึ่ง 2 ยี่ห้อที่เหลือก็เพียงอยู่แบบถูๆไถๆ ไปเรื่อย ซึ่งก็มีแต่ Peugeot ยี่ห้อเดียวนี่แหละที่เป็นรถฝรั่งเศสที่มีความเคลื่อนไหวในบ้านเรามากที่สุด แบบที่ยังเหลือความพยายามที่จะทำยอดขายในบ้านเราอยู่ และหนึ่งในความพยายามนั้นก็คือการ Re-Engineering Peugeot 308 มาเป็น Peugeot 408 ซึ่งพิกัดก็อยู่ใน C-Segment ดังเดิม แต่สมรรถนะและคุณภาพก็พอต่อกรกับ ซีดาน D-Segment ได้

Peugeot 408 มีจำหน่ายอยู่ในประเทศไทย 2 รุ่นย่อย คือ 1.6 Turbo และ 2.0 NA

สำหรับรุ่น 2.0 ลิตรเบนซิน ไร้เทอร์โบช่วยอัดอากาศนั้น มี 145 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที และมีแรงบิด 200 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 12.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 195 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ราคาจำหน่ายที่ 1,150,000 บาท

และรุ่น 1.6 ลิตร Turbo มีพละกำลังสูงสุด 163 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 240 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400 รอบต่อนาที อัตราประหยัดน้ำมัน 12.2 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อย Co2 190 กรัมต่อกิโลเมตร เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ภายใน 9.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 215 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำสมรรถนะความเร็วได้ดีกว่าซีดาน D-Segment 2.0 ลิตร อย่าง Toyota Camry, Honda Accord, Nissan Teana ในรุ่นล่างสุด แต่เปลืองน้ำมันกว่า และมีราคาจำหน่ายใกล้เคียงกันที่ 1,290,000 บาท บางคนอาจจะมองว่าแพงไปสำหรับเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร แต่ดูตัวเลขสมรรถนะที่ได้ราคานี้ก็ถือว่าไม่แพงเกินไป คิดซะว่าถูกกว่า 1.6 ลิตร ของ Mini Cooper S Coupe ถึง 2 เท่าตัว

ดูตัวเลขสมรรถนะแล้วค่อนข้างน่าพอใจ ราคาก็ดูไม่แพงเกินไป ถ้าหาอะไหล่เก่งๆ หาอู่ดีๆ ได้ ก็น่าจะลองดู แต่ต้องทำใจเรื่องกลไกอิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อน เข้าศูนย์ซ่อมอาจจะไม่จบง่ายๆ ซึ่งถ้ารับได้กับเรื่องประเภทนี้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะ ตัวรถเองก็ขับดี ช่วงล่างดี และเป็นรถที่ไม่โหล ขับไปไหนต้องมีคนมองตามอย่างแน่นอน

บั้นท้ายอาจยังดูไม่ลงตัวเพราะเป็นการตัดต่อกับ 308