วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557

รีวิว Ford Fiesta Ecoboost Sport AT 5 ประตู

นับเป็นแฮทช์แบ็คที่น่าจับตามองอีกรุ่นหนึ่งกับขุมพลังระดับโลก Ecoboost 3 สูบ 1.0 ลิตร ที่ให้พละกำลังเทียบเท่ากับเครื่องยนต์ 1.5-1.6 ลิตร และวันนี้กับ Ford Fiesta Ecoboost Sport ราคา 754,000 บาท จะตอบโจทย์ลูกค้าได้มากแค่ไหน ก็ต้องลองมาดูกัน

รูปลักษณ์ภายนอก
Ford Fiesta Ecoboost

ท้าย Ford Fiesta Ecoboost
มีเส้นสายโฉบเฉี่ยวมากขึ้น ติดตั้งสเกิร์ตมาให้ที่ด้านหน้าและด้านท้าย ใช้ล้อแม็กลายใหม่ขนาด 16 นิ้ว กระจังหน้าดูคล้ายรถสปอร์ตแดนผู้ดีอย่าง Aston Martin ที่ Ford เคยเป็นเจ้าของอยู่พักหนึ่ง ปัจจุบันไม่มีความเกี่ยวดองอะไรกันแล้ว มิติตัวรถ กว้าง*ยาว*สูง เท่ากับ 1,722*3,950*1,454 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,489 มิลลิเมตร ระยะช่วงล้อคู่หน้า 1,473 มิลลิเมตร ล้อคู่หลัง 1,460 มิลลิเมตร น้ำหนักรถเปล่า 1,127 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 43 ลิตร เป็นขนาดมาตรฐานสำหรับแฮทช์แบ็ค B-Segment โดยทั่วไป

ภายใน
มีการเปลี่ยนแปลงจาก Fiesta รุ่นก่อนหน้านี้ เพียงเล็กน้อย เบาะนั่งตกแต่งให้ดูมีอารมณ์สปอร์ตขึ้น มาตรวัดเป็นแบบไร้กรอบกระจกแบ่งเป็นช่องวัดความเร็วอยู่ด้านขวา ช่องวัดรอบเครื่องอยู่ด้านซ้าย ตรงกลางเป็นจอแสดงผลสถานะต่างๆ ของรถยนต์ มีเครื่องเสียงแบบ CD mp3 และมีระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC มาให้ด้วย ห้องโดยสารด้านหลังอาจจะรู้สึกแคบไปนิดสำหรับคนตัวใหญ่ แต่สำหรับผู้โดยสารด้านหน้าและคนขับถือว่ามีพื้นที่ให้อย่างพอเพียง ทัศนะวิสัยด้านหน้ามองเห็นได้ชัดเจนดี ทัศนะวิสัยด้านหลังอาจมีปัญหาเล็กน้อยเมื่อมีผู้โดยสารนั่งอยู่อาจมีการบดบังทัศนะวิสัยด้านหลังอยู่พอสมควร การเก็บเสียงของห้องโดยสารที่ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่ายังทำได้ไม่ค่อยดี โดยมีเสียงเล็ดลอดเข้ามาถึง 68 เดซิเบล และในระดับความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ยังมีเสียงถึง 66 เดซิเบล ทำได้แย่กว่า Mitsubishi Lancer EX 1.8 ลิตรซะอีก คงเป็นเพราะค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่มากกว่าที่ค่า Cd เท่ากับ 0.331 ส่วน EX มีค่า Cd เพียง 0.29 คงเป็นเพราะเรื่องเช่นนี้กระมังที่ทำให้ Fiesta ตัวถังต้านลมมากกว่าจึงเกิดเสียงมากกว่า แต่เสียงเครื่องยนต์และเสียงล้อที่หมุนไปกับถนนก็น่าจะมีส่วนอยู่ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ไม่อยากจะเชื่อคือรถคันเล็กกว่าแต่ออกแบบมายังไงให้มันต้านลมมากกว่ารถ C-Segment ถ้าเป็นเพราะเครื่องก็ยิ่งไม่อยากเชื่อว่าเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร 3 สูบจะเสียงดังกว่า 1.8 ลิตร 4 สูบ ถ้าเป็นเพราะล้อก็คงต้องโทษยาง แต่วัสดุที่ใช้บุห้องโดยสารเก็บเสียงได้แย่กว่าและแรงเสียดทานอากาศที่มากกว่าน่าจะเป็นปัจจัยที่สมเหตุสมผลที่สุด แต่เรื่องนี้สามารถปล่อยผ่านไปได้เพราะรถมันอยู่คนละระดับกันราคา Lancer EX ก็แพงกว่ากันเป็นแสน

สมรรถนะเครื่องยนต์และอัตราเร่ง
ก็อย่างที่บอกเครื่องยนต์บล็อกเล็ก 3 สูบ 1.0 ลิตรเทอร์โบบล็อกนี้ให้กำลังจัดจ้านเกินพิกัดมาก 125 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 170 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400-4,500 รอบต่อนาที เป็นอะไรที่แรงเกินตัวมาก รถคันนี้ยังปรับสมดุลของข้อเหวี่ยงให้กระจายแรงเหวี่ยงไปยังทิศทางที่ถูกต้องภายในห้องเครื่อง ทำให้เครื่อง 3 สูบของ Fiesta Ecoboost เดินเรียบ มีความสมดุล ไม่สั่นเหมือน 3 สูบของ Eco Car จากค่าย Mitsubishi กับ Nissan ที่ลูกสูบทั้ง 3 ยังทำงานได้ไม่สมดุลดีพอ เครื่องยนต์ของ Ford ตัวนี้ ส่งให้รถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 10.5 วินาที อัตราเร่งแซง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 7.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 192 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ถ้าเป็นรุ่นซีดานจะทำได้ถึง 198 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) และการวิ่งทางตรง 1 กิโลเมตรสามารถทำได้ภายใน 32.3 วินาที ความเร็วจบที่ 162.1 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือเป็นรถแฮทช์แบ็ค B-Segment ที่ทำสมรรถนะอัตราเร่งได้ดีที่สุดในขณะนี้ ตัวเลขเทียบได้กับรถซีดาน C-Segment 1.8 ลิตรนู่นเลยทีเดียว เป็นเพราะตัวรถที่เบากว่าเมื่อเทียบแรงม้าต่อน้ำหนักจึงได้สัดส่วนที่ดีกว่านั่นเอง ส่วนอัตราประหยัดน้ำมันทำได้โดยเฉลี่ย 18.6 กิโลเมตรต่อลิตร

ช่วงล่างและระบบรองรับ
ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบกึ่งอิสระทอร์ชั่นบีม ที่เซ็ตมาได้อย่างลงตัวระหว่างความนุ่มกับความหนึบ ให้สมดุลที่ดีเวลสเข้าโค้ง เป็นช่วงล่างที่ดีพอๆ กับ Chevrolet Sonic ที่นับได้ว่าช่วงล่างดีที่สุดในรถกลุ่ม B-Segment และอาจจะดีกว่าช่วงล่างของ C-Segment อย่าง Honda Civic FD ด้วยซ้ำ นั่นแหละ Ford Fiesta Ecoboost รุ่นนี้ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน แต่ด้วยน้ำหนักรถที่ถือว่าเบามาก และค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่ถือว่ามากพอสมควร ทำให้เวลาขับที่ความเร็วสูงเกิน 170 อาจมีความรู้สึกสั่นโคลงอย่างชัดเจน และพวงมาลัยนี่เซ็ตมาอย่างเบาทำให้เวลาขับด้วยความเร็วสูงต้องตั้งสมาธิกับการจับพวงมาลัยอยู่พอสมควร ส่วนประสิทธิภาพเบรคถือว่าไว้ใจได้โดยการจะหยุดความเร็วจาก 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปจนหยุดนิ่งใช้ระยะ 41.7 เมตร ดีกว่า Honda Jazz ที่ทำได้ 43.2 เมตร

สรุป
จุดดี: เป็นรถที่สมรรถนะดีทั้งเครื่องยนต์และช่วงล่างแถมยังประหยัดน้ำมัน
จุดด้อย: พื้นที่ใช้สอยในห้องโดยสารยังไม่ค่อยลงตัว การเก็บเสียงจากภายนอกสู่ห้องโดยสารทำได้ไม่ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น