วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

เปรียบเทียบ Sedan D-Segment: Toyota Camry, Honda Accord, Nissan Teana

ตลาดกลุ่มรถซีดาน D-Segment เป็นกลุ่มที่มีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้น โดยกลุ่มนี้เน้นขายให้กับลูกค้าช่วงอายุวัยกลางคนซึ่งทำงานมาเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว อาจจะเป็นระดับผู้จัดการ ผู้บริหาร หรือสูงกว่านั้น ซึ่งรถก็ออกแบบมาให้นั่งสบาย หรูหราภูมิฐาน สมกับเป็นรถผู้บริหาร เรียกว่าหรูระดับน้องๆ รถยุโรปกันไปเลย และผู้ร่วมแข่งขันในตลาดกลุ่มนี้ก็มีหลักๆ อยู่สามรุ่น และอาจมีรถคันอื่นมาคาบเกี่ยวในกลุ่มนี้บ้าง แต่ก็ไม่โดดเด่นเท่ากับสามคันนี้ และเจ้ารถสามคันที่ว่านี้ก็คือ Toyota Camry, Honda Accord และ Nissan Teana โดยสถานการณ์จะเป็น Camry กับ Accord แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายโดยมี Teana คอยเข้ามาสอดแทรกและปล่อยทีเด็ดให้สองค่ายยักษ์ใหญ่ได้ตะลึงในบางครั้ง เปรียบเสมือนศึกสามก๊กชิงความเป็นใหญ่ระหว่าง โจโฉ กับ เล่าปี่ โดยมีซุนกวน คอยสอดแทรก ครั้งนี้ขอนำรุ่นมาตรฐาน 2.0 ลิตร ในระดับราคาล้านต้นๆ มาเปรียบเทียบให้ท่านได้ดูกัน เริ่มจาก

Toyota Camry
Toyota Camry 2.0G ราคา 1,279,000 บาท ใช้เครื่องยนต์ 1AZ-FE ความจุ 2.0 ลิตร 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ให้กำลัง 148 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 190 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนล้อหน้าผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดแบบซีเควนเชียล มิติตัวรถ กว้าง*ยาว*สูง 1,825*4,825*1,470 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,775 มิลลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถ 150 มิลลิเมตร

Honda Accord
Honda Accord 2.0EL ราคา 1,299,000 บาท ใช้เครื่องยนต์ R20A 4 สูบ 16 วาล์ว SOHC i-VTEC ความจุ 2.0 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 155 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิด 190 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนล้อหน้า ผ่านเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด มิติตัวรถ กว้าง*ยาว*สูง เท่ากับ 1,850*4,870*1,465 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,775 มิลลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถ 141 มิลลิเมตร

Nissan Teana
Nissan Teana 2.0XE ราคา 1,270,000 บาท ใช้เครื่องยนต์ MR20DE 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ความจุ 2.0 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 136 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิด 190 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนล้อหน้าผ่านเกียร์ Xtronic CVT มิติตัวรถ กว้าง*ยาว*สูง 1,830*4,875*1,490 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,775 มิลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถ 135 มิลลิเมตร

ตารางเปรียบเทียบรถทั้ง 3 รุ่น
จะเห็นได้ว่า Teana ที่มีแรงม้าน้อยกว่าใครเพื่อนกลับทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ดีที่สุดที่ 11.2 วินาที ทิ้งให้ Accord และ Camry ไปแข่งกัน 2 คันโดย Accord เฉือนเอาชนะไป 0.1 วินาที ก็น่าแปลกใจเหมือนกันที่ Teana ทำได้ขนาดนี้เพราะเทียบแรงบิดต่อน้ำหนักก็ไม่ได้ดีไปกว่า Camry ยิ่งแรงม้าต่อน้ำหนักยิ่งไปใหญ่ แต่ที่ทำอัตราเร่งสปีดต้นได้ดีขนาดนี้คงต้องยกความดีให้เกียร์ CVT ของ Teana ที่ส่งกำลังได้อย่างราบรื่นในช่วงความเร็วต้น ทำให้สามารถทำเวลาได้ดีกว่าอย่างที่เห็น แต่พอเป็นช่วงความเร็วในการเร่งแซง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กลับเป็น Camry ที่ทำเวลาได้ดีที่สุดทิ้งห่างอีก 2 คันที่เหลือ ร่วม 1 วินาที ก็หมายความว่าเวลาจะเร่งแซงรถคันข้างหน้าในความเร็วระดับนี้ Camry ทำได้ไวกว่า ซึ่งเวลา 1 วินาที ก็มีความหมายพอที่จะทำให้คุณพ้นจากการประสานงานกับรถที่วิ่งสวนมาข้างหน้าได้อย่างมาก ส่วนอัตราเร่งความเร็วปลายและความเร็วสูงสุดต้องยกให้ Accord ที่เป็นรถที่เร็วที่สุดสมกับที่มีแรงม้ามากกว่าใครเพื่อน และยังเป็นรถที่ประหยัดน้ำมันที่สุดอีกด้วยเรียกว่าประหยัดกว่าอย่างชัดเจน ข่วงล่างก็เกาะหนึบไว้ใจได้ทั้งสามคันแต่ Camry กับ Accord จะรู้สึกถึงความสปอร์ตอยู่บ้างแต่ยังมีความนิ่มนวลนั่งสบายอยู่ ส่วนคนที่ชอบช่วงล่างนุ่มๆ แบบรถนั่งสบายๆไปเลยก็ต้องเป็น Teana ก็เรียกได้ว่าทั้ง 3 คันมีดีคนละแบบคนละสไตล์ โดยในข้อมูลทางตัวเลขก็ชัดเจนในตัวมันเองแล้ว ทั้งสามคันก็มีสมรรถนะ ที่ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากนัก ก็ขึ้นอยู่กับความชอบและรสนิยมส่วนตัวเลยว่าจะชอบแบรนด์ไหน หรือถ้าไม่ชอบ 3 แบรนด์นี้ ก็อาจมองหาความแตกต่างอย่าง Peugeot 408, Skoda Octavia, Subaru Legacy, Hyundai Sonata ทั้งหมดนี้ในพิกัดเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรดูก็ได้


วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557

เปรียบเทียบ Toyota Vios VS. Honda City

ครั้งนี้ขอนำทุกท่านเข้าสู่การเปรียบเทียบรถซีดาน B-Segment 1.5 ลิตร ของค่ายยักษ์ใหญ่ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาอย่างช้านาน อย่าง Toyota และ Honda ซึ่งในกลุ่มตลาดระดับนี้ก็มีรถยนต์คอมแพคซีดานอยู่ 2 รุ่นที่ทำยอดขายสลับกันขึ้นที่หนึ่งที่สองอยู่ในแต่ละช่วงปี นั่นก็คือ Toyota Vios กับ Honda City (ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2557 เป็น City เฉือนชนะ Vios ไป 11,477 ต่อ 11,412 คัน ต่างกันแค่หลักสิบ แต่มาเดือนสิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา ยอดขาย Vios ชนะ City ไปที่ 4,143 ต่อ 3,523 คัน)  โดย Vios รุ่นล่าสุดนั้นเปิดตัวมาก่อน และ All new City ก็ตามมาทีหลัง ก็ต้องมาดูกันว่า Toyota Vios จะมีความเก๋าพอที่จะรับมือ Honda City ที่ใหม่และสดกว่าได้หรือไม่ ครั้งนี้ขอนำรุ่นท็อปทั้งสองยี่ห้อมาเปรีบเทียบกันโดยทาง Toyota จะเป็น Vios S และ Honda จะเป็น City SV+

Toyota Vios



Honda City
เปรียบเทียบสเป็ค Vios, City

เรียกว่าเรื่องของกำลังเครื่องยนต์นั้น Honda City มีมากกว่าทั้งแรงม้าและแรงบิด (ขอแก้ตรง 120 แรงม้าเป็น 117 แรงม้า และแรงม้าต่อน้ำหนักจาก 108.9 เป็น 106.17 แรงม้า/ตัน)  และเมื่อเทียบกำลังต่อน้ำหนักแล้ว City ก็ยังมีมากกว่าอยู่ดี และเวลาขับจริงๆ ก็เป็น City ที่ออกตัววิ่งได้อย่างกระฉับกระเฉงกว่าไม่ว่าจะเป็นรอบต่ำ กลาง สูง แต่ Toyota Vios นั้นจะอืดในรอบต่ำต้องลากรอบสูงๆ อัตราเร่งจึงจะมาเป็นน้ำประปาแตก เรียกว่าคล้าย Vios Gen1 Gen2 เหมือนกันเพียงแต่รู้สึกว่าเร็วกว่านิดหน่อย อาจจะเป็นเพราะอัตราทดเกียร์ที่ห่างเกินไปและมีแค่ 4 เกียร์ มันเลยติดลากรอบสูงเหมือน Vios ตัวเดิมๆ ส่วนช่วงล่างทั้งสองคันไม่มีปัญหาอะไร สามารถเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ การซับแรงสั่นสะเทือนเป็นไปอย่างนุ่มนวลทั้งคู่ และเป็นรถที่นั่งสบาย แต่ Vios แอบมีกังวลเล็กๆเพราะอาการโยนตัวยามเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ซึ่งตรงนี้ City รู้สึกได้น้อยกว่า แต่เรื่องทิศทางและน้ำหนักพวงมาลัยเป็น Vios ที่ทำได้ดีกว่า มีความแม่นยำและน้ำหนักเฟิร์มกำลังดี แต่ City พวงมาลัยยังขาดความแม่นยำ น้ำหนักและระยะฟรียังรู้สึกไม่ค่อยลงตัว

มาถึงบทสรุป ก็เรียกว่าทั้งสองคันเรียกคะแนนในส่วนที่แตกต่างกัน Honda City ได้เปรียบในเรื่องของประสิทธิภาพเครื่องยนต์และระบบเกียร์ ส่วนของช่วงล่างก็ไว้ใจได้มากกว่านิดหน่อย Toyota Vios ได้เปรียบในเรื่องการเซ็ตพวงมาลัยที่ให้ทิศทางแม่นยำและน้ำหนักลงตัวกว่า แถมรัศมีวงเลี้ยวแคบกว่าถึง 20 เซนติเมตร ทำให้การใช้งานในเมืองและการใช้งานภายในพื้นที่จำกัดสามารถขับได้อย่างคล่องตัวกว่า อย่างเช่นการกลับรถในพื้นที่แคบที่บางครั้ง Vios สามารถไปได้ด้วยจังหวะเดียว แต่ City ต้องถอยหลังอีกหนึ่งจังหวะก่อนจะเดินหน้าไปได้รวมเป็น 2 จังหวะ และ Vios มีราคาถูกกว่า 15,000 บาทซึ่งเท่ากับเงินเดือน 1 เดือน ของผู้ที่เริ่มต้นทำงาน นับว่าส่งผลอย่างมากทีเดียว เพราะถ้าซื้อ Vios คุณจะได้กินดีอยู่ดีมากกว่าถึง 1 เดือน หากซื้อ City คุณอาจต้องกินแกลบมากกว่าอีกหนึ่งเดือน ก็แล้วแต่ว่าจะพิจารณาถึงความคุ้มค่าต่อสมรรถนะของตัวรถหรืออยากจะจ่ายน้อยกว่าแต่สมรรถนะอาจจะน้อยลงมาหน่อย ซึ่งก็น่าเสียดายที่ไม่มีตัวเลขอัตราประหยัดน้ำมัน หรือ อัตราเร่งและความเร็วสูงสุดมานำเสนอ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นจะบอกเป็น Fact เลยว่ารถคันไหนเร็วกว่า ประหยัดน้ำมันกว่า แต่ตอนนี้บอกได้แต่เพียงว่า City แรงกว่าและมันเป็นเพียงความรู้สึกของผมเอง ถ้าคนอื่นมาขับอาจจะรู้สึกต่างออกไปก็ได้ ซึ่งผมก็ขอแนะนำให้ถ้าคุณสนใจรุ่นไหนก็สามารถติดต่อขอลองขับด้วยตัวเองเลยครับ รู้สึกชอบคันไหนก็ตัดสินใจเลือกคันนั้นได้เลย และขอให้มีความสุขกับรถที่ท่านเลือกครับ

คู่มือซ่อมบำรุง Toyota Vios

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2557

รีวิว Kawasaki Ninja 300

Kawasaki Ninja 300
นอกจาก Honda CBR สปอร์ตไบค์ที่เป็นที่นิยมในบ้านเราแล้ว ก็ยังมี Kawasaki Ninja อีกรุ่นที่เป็นที่นิยมไม่แพ้กัน เรียกว่า วัดกันที่ขนาด c.c. เท่ากันแล้วเรียกว่ากินกันไม่ลง จะว่าไปแล้วการขี่บิ๊กไบค์ทักษะของคนขี่มีผลอย่างมาก มากซะยิ่งกว่าการขับซูเปอร์คาร์ที่คุณสามารถเปิดระบบช่วยเหลือต่างๆ ได้ แต่สำหรับชาวสองล้อผู้คลั่งไคล้บิ๊กไบค์แล้วถือว่าต้องวัดกันที่ฝีมือเท่านั้น ถึงแม้บิ๊กไบค์หลายๆรุ่น จะมีเปลี่ยนโหมดขับขี่ได้เหมือนรถยนต์ก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้คุณไม่ล้มซะเลยทีเดียว แต่หากผู้ขี่มีความเชี่ยวชาญล่ะก็ เจอกันในสนามแข่งซูเปอร์คาร์ก็มีหนาวเหมือนกัน และ Kawasaki Ninja 300 คันนี้ นับว่าเป็นบิ๊กไบค์ที่ขี่ง่ายรุ่นหนึ่ง (แต่จะให้ดีแนะนำว่าควรเริ่มด้วย Kawasaki  Ninja 250 ก่อนถ้าไม่คล่อง ถ้าคล่องแล้วค่อยอัพซีซีขึ้น หรืออาจจะเริ่มด้วยรุ่น Naked อย่าง Kawasaki Z250 ก่อนก็ได้ คันนี้รับรองว่าแม้จะเป็นเด็กอายุไม่มากก็ยังขี่ได้) สมรรถนะของ Kawasaki Ninja 300 นั้นจัดได้ว่าดีเยี่ยม โดยมีรายละเอียดดังนี้

Kawasaki Ninja 300 ราคา 182,500 บาท ใช้เครื่องยนต์ 2 สูบ 8 วาล์ว สี่จังหวะ ความจุ 296 ซีซี ให้กำลัง 34.77 แรงม้าที่ 11,000 รอบต่อนาที และแรงบิด 23.66 นิวตัน-เมตร ที่ 9,750 รอบต่อนาที ตัวรถมีน้ำหนัก 174.6 กิโลกรัม ถ้าเทียบแรงม้าต่อน้ำหนักแบบรถยนต์ล่ะก็จะได้ 199.14 แรงม้าต่อตัน มากกว่า Toyota FT86 ที่มี 160 แรงม้าต่อตันซะอีก Kawasaki Ninja 300 สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 5.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 180.9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีอัตราประหยัดน้ำมันที่ 23 กิโลเมตรต่อลิตร เรียกว่าหากต้องการสปีดต้นที่แรงกว่า 86 ในอัตราประหยัดน้ำมันที่ดีกว่าล่ะก็ Ninja 300 จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง (เฉพาะผู้ที่ชื่นชอบในความเร็ว แต่ถ้ากลัวตากแดดเปียกฝนก็ขับรถยนต์เอาก็ได้ไม่ว่ากัน)

ลักษณะการขับขี่ของ Kawaski Ninja 300 คันนี้นับว่ามีความคล่องตัวดีเมื่อเทียบกับรถบิ๊กไบค์ในขนาดเดียวกัน เมื่อขับความเร็วต่ำก็ไม่รู้สึกว่าขับยาก การเปลี่ยนทิศทางในความเร็วต่ำสามารถทำได้โดยเพียงแค่หักแฮนด์ไปตามทิศทางที่ต้องการโดยบางครั้งไม่ต้องเอี้ยวตัวเพื่อช่วยในการเลี้ยวแม้แต่นิดเดียว ส่วนการทรงตัวในความเร็วสูงนั้นคงต้องบอกว่า จะดีไม่ดีขึ้นอยู่กับฝีมือผู้ขี่ล้วนๆ แต่ก็สามารถบอกได้อย่างหนึ่งว่า ระบบกันสะเทือนซับแรงกระแทกได้ดี และเวลาเข้าโค้งก็รู้สึกว่ามั่นคงไม่มีอาการส่ายหรือสะบัดให้รู้สึกมากนัก ส่วนจะล้มไม่ล้มนั้นขึ้นอยู่กับองศาการเอียงเวลาเข้าโค้งบวกกับสรีระและท่านั่งของผู้ขี่เอง ซึ่งผมก็บอกไม่ได้ว่าแต่ละคนจะเอียงได้มากที่สุดกี่องศา แต่คงไม่มีใครอยากเอียงลงไปนอน 180 องศาแน่นอน ระบบเบรก ABS มั่นใจได้รับรองว่าความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ยังไงก็เอาอยู่ เบรกแล้วไม่มีอาการปัดแน่นอน (ขึ้นอยู่กับน้ำหนักในการเหยียบเบรกด้วย) ถ้าเกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงควรเผื่อระยะไว้ซักหน่อยหนึ่งและไม่ควรเบรกอย่างรุนแรง

สุดท้ายขอสรุปว่าสปอร์ตไบค์คันนี้เป็นมอเตอร์ไซค์ที่ขี่ง่ายขี่สนุกและใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดี ถ้าซื้อ Ninja 300 คันนี้ไปรับรองว่ามีเพื่อนเยอะครับ

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557

Hyundai Tucson อีกหนึ่งทางเลือกในตลาด SUV

Hyundai Tucson
ตอนแรกที่เห็นรถรุ่นนี้ทีแรกไม่คิดอะไรกับ Hyundai Tucson คันนี้เท่าไหร่ พอเห็นมันขับผ่านก็คิดว่าสวยดีนะ พอกลับถึงบ้านนึกขึ้นได้เลยลองเปิดดูสเป็คดูก็มีเหวออยู่แป๊บหนึ่ง เพราะไปเห็นสเป็คของมันเข้านี่ก็แทบไม่อยากเชื่อว่านี่มันสมรรถนะของรถ Hyundai จริงๆ เหรอ เพราะมันใช้เครื่องยนต์ดีเซลที่ความจุแค่ 2.0 ลิตร ให้กำลังแรงม้าเทียบเท่ากับเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ของ BMW X1 sDrive 20d xLine ที่มีราคา 2,799,000 บาท อยู่ที่ 184 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที เหมือนกัน แถมแรงบิดของ Tucson ยังมากกว่า X1 อยู่พอสมควร (Tucson 392 NM, X1 380 NM) และยังขายในราคาที่ถูกกว่าที่ 1,690,000 บาทซะด้วย หลังจากที่เห็นสมรรถนะของมันตอนนั้นเวลาก็ล่วงเลยมานานจนผมเกือบลืม แต่ไหนๆวันนี้ก็นึกได้แล้ว ก็ขอรีวิวรถคันนี้ซะหน่อย

เริ่มกันที่ข้อมูลทางเทคนิค
Hyundai Tucson ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร รหัส D4HA มีเทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิด 392 นิวตัน-เมตรที่ 1,800-2,500 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนสี่ล้อผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ช่วงล่างด้านหน้าเป็น แม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังเป็น มัลติลิงค์ น้ำหนักรถ 1,713 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 55 ลิตร มิติรถ กว้าง*ยาว*สูง เท่ากับ 1,820*4,410*1,655 ความยาวฐานล้อ 2,640 มิลลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถ 170 มิลลิเมตร  รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.29 เมตร

รถคันนี้ถือว่าเป็น SUV แท้ๆ ไม่ใช่กระบะดัดแปลงให้เป็น SUV ที่เรียกว่า PPV (PPV ภาษีถูกกว่า) PPV เป็นยังไงก็ไปดู Isuzu MU-X, Toyota Fortuner, Mitsubishi Pajero Sport, Chevrolet Trailblazer เป็นตัวอย่าง 4 คันนั้นมีพื้นฐานมาจากกระบะของค่ายตัวเองอย่าง D-Max, Vigo, Triton, Colorado ทั้งนั้น สำหรับ Hyundai Tucson มีราคาที่แพงกว่า PPV เหล่านั้นพอสมควรเพราะเสียภาษีตามเกณฑ์ของ SUV และการใช้งานก็ให้ความรู้สึกเป็นรถยนต์นั่งจริงๆ ฟีลลิ่งช่วงล่างไม่มีกลิ่นอายของรถกระบะมาเจือปนเลยแม้แต่น้อย การใช้งานในเมืองคล่องตัวกว่า PPV เพราะมิติตัวถังที่กะทัดรัดกว่า แต่ก็ไม่รู้สึกว่าเล็กเลย ต้องบอกว่า Hyundai Tucson คันนี้จัดสรรพื้นที่ในห้องโดยสารได้อย่างดีเยี่ยม การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารก็ทำได้ดี ในนั้นจะรู้สึกว่าเงียบตัดเสียงรบกวนจากลมที่ปะทะตัวถัง เสียงภายในห้องเครื่อง และยางที่เสียดสีกับถนน ก็ไม่รู้สึกว่าดังเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าผมชินกับรถเสียงดังๆแล้วมานั่งคันนี้เลยรู้สึกเงียบ แต่มันเป็นความเงียบอย่างแท้จริง คิดว่า ปู่ ย่า ตา ยาย คนแก่คนชรา หรือเด็กอายุ 10 ขวบ มานั่งในนี้ก็จะรู้สึกว่าเงียบเหมือนกับผมนั่นแหละ (ไม่ต้องมโนว่ารถเสียงดังที่ผมพูดถึงเป็นซูเปอร์คาร์ราคาแพงนะครับ มันเป็นรถรุ่นเก่าเสียงดังๆน่ะ) รถ Hyundai Tucson คันนี้อัตราเร่งใช้งานได้หลากหลายจะขับแบบนุ่มๆก็ได้ถ้าบรรจงกดคันเร่งลงไปเกียร์จะตอบสนองอย่างนุ่มนวลแต่ยังมีความรู้สึกถึงแรงส่งอยู่ถ้าต้องการอัตราเร่งก็กดลงไปอีก 30% มันจะพุ่งปรี๊ดไปเลย แต่ก็ไม่รู้สึกว่ากระชากกระชั้นยังมีความนิ่งอยู่และเกียร์ก็ส่งกำลังอย่างไม่สะดุด เสียอย่างเดียวว่าทำไมปลายมันเหี่ยวไม่รู้สึกว่ามันมี 184 แรงม้าเท่ากับ X1 เลย และไม่รู้สึกว่า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจะทำได้ 7.9 วินาที เท่ากับ X1 ด้วย อาจเป็นเพราะน้ำหนักมากกว่าก็เป็นได้ (น้ำหนัก X1 เท่าไหร่ไม่รู้แต่ไม่ขอลงลึกรายละเอียดไปมากกว่านี้เพราะเดี๋ยวมันจะกลายเป็น Tucson VS. X1 ไป) แต่อย่างไรก็ตามมันรู้สึกว่าเร็วกว่า Toyota Fortuner 3.0 ลิตรอยู่พอสมควร น่าจะแรงพอๆ กับ Mazda CX5 รุ่นดีเซลขับสี่ และก็น่าจะทำความเร็วสูงสุดได้เกิน 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอีกด้วย แต่ไม่แน่ใจว่าจะทำได้ถึง 212 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่า CX5 รึเปล่า แต่หน้าปัดของ CX5 เผื่อตัวเลขไว้ถึง 260 โน่น แต่ Tucson เผื่อเอาไว้แค่ 220 ซึ่งผมก็เดาว่าความเร็วสูงสุดน่าจะ 200 ต้นๆ ไม่น่าเกิน 210 ซึ่งก็ดีกว่า Tucson รุ่นที่แล้ว ที่ทำได้ไม่ถึง 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยซ้ำ สรุปให้เลยว่าเครื่องยนต์ดีช่วงล่างดี เป็นรถที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่คุณไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ครับ ไปลองขับด้วยตัวคุณเองดูแล้วจะรู้ว่าชอบมันรึเปล่า

ไฟท้ายดูโฉบเฉี่ยว

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557

เปรียบเทียบ Mitsubishi Pajero Sport Minorchange 2.5 ลิตร กับ Isuzu MU-X 3.0 ลิตร


หลังจากเมื่อคราวก่อนเคยนำเสนอเกี่ยวกับรถ PPV ในพิกัด 2.5 ลิตรไปแล้ว รู้สึกว่า Isuzu MU-X รุ่น 2.5 ลิตร จะสู้รถยี่ห้ออื่นไม่ค่อยได้คราวนี้ก็เลยอยากลองให้ Pajero Sport แบกน้ำหนักสู้กันตัวต่อตัวปอนด์ต่อปอนด์ไปเลยแล้วลองมาดูว่าผลจะออกมาเป็นยังไง

จากตารางสรุปได้ว่าในช่วงสปีดต้น 0-100 นั้น MU-X จะเร็วกว่า Pajero ชัดเจนและความรู้สึกในการขับก็บ่งบอกแบบนั้นและมันก็น่าจะเร็วกว่า Fortuner และ Trailblazer รุ่น 2.5 ลิตรด้วย ก็ชัวร์อยู่แล้วว่าถ้ารุ่น 3.0 ลิตรยังแพ้อีกนี่เอาปี๊บมาคลุมหัวซะเถอะ ด้วยแรงบิดที่มากกว่าชัดเจนส่งให้มันทะยานไปในช่วงออกสตาร์ท ได้อย่างหวือหวา จนถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่หลังจาก 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไปแล้ว ยังเป็น Pajero ที่ทำอัตราเร่งได้ดีกว่า เพราะช่วงรอบในการให้แรงบิดสูงสุดที่กว้างกว่า และสูงกว่าถึง 700 รอบ ประกอบกับแรงม้าต่อน้ำหนักที่เหนือกว่าทำให้ Pajero ทำความเร็วได้ต่อเนื่องกว่าไปจนสุดตีนปลายที่ 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วน MU-X แม้จะไม่ได้ทดสอบความเร็วสูงสุดแต่ความรู้สึกก็พอบอกได้ว่าไม่น่าจะเกิน 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ในย่านความเร็วต่ำกว่า 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้นอัตราเร่งทุกเม็ดทุกดอกของ MU-X จะรู้สึกกระฉับกระเฉงกว่า Pajero ชัดเจน ความรู้สึกมันบอกว่าน่าจะพอๆ กับ Fortuner 3.0 ลิตร กับ Trailblazer 2.8 ลิตร 200 แรงม้า (เฉพาะสปีดต้น) อัตราประหยัดน้ำมันก็เป็น Isuzu MU-X ที่ประหยัดกว่าและมีพิสัยการเดินทางที่ไกลกว่าด้านการใช้งานแล้วน่าจะเป็น Isuzu MU-X ที่ใช้งานได้คุ้มกว่า แถมยังมีมิติตัวรถที่กว้างกว่าโดย ยาว*กว้าง*สูง เท่ากับ 4,825*1,860*1,860 เทียบกับ Pajero 4,695*1,815*1,840 แล้ว Pajero ดูเล็กกว่าไปถนัดตา ประกอบกับ Pajero แบ่งพื้นที่ไปให้กับถังน้ำมันถึง 70 ลิตร แล้วทำให้ห้องโดยสารของ MU-X มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าเยอะ เพราะ MU-X แบ่งพื้นที่ให้ถังน้ำมันเพียง 65 ลิตร เรียกว่าอัตราเร่ง อัตราประหยัดน้ำมัน ความคุ้มค่าในการใช้งานนั้น MU-X กินขาด Pajero จะชนะก็เฉพาะอัตราเร่งช่วงรอบกลางกับรอบปลาย และการทำความเร็วสูงสุดเท่านั้น ซึ่งยังทำให้มันยังเป็น PPV พิกัด 2.5 ลิตรที่ความเร็วสูงสุดมากที่สุดในตลาดอยู่

ในเรื่องช่วงล่างและการควบคุมก็ต้องขอบอกตามตรงว่ารุ่น 2.5 ลิตรเป็นยังไงรุ่น 3.0 ลิตรก็ไม่ต่างกัน สำหรับ MU-X ทั้งย้วยทั้งเต้น ในขณะที่คนอื่นอาจจะพอใจกับความนุ่มของช่วงล่างแต่โดยส่วนตัวผมล่ะเกลียดมันจริงๆ แต่ซื้อโช้คแต่งมาใส่อะไรๆ ก็น่าจะดีขึ้นกว่านี้ ซึ่งเดิมๆจากโรงงานนี่บอกเลยว่าขับแล้วรู้สึกร่อนมากเทียบกับ Pajero ไม่ติดเลย เทียบกับ Fortuner แล้ว MU-X ก็ยังแย่กว่า ก็น่าแปลกว่าพื้นฐานโครงสร้างมันมาจาก Isuzu D-Max ที่รู้สึกเหมือนจะหนึบแน่นกว่า Toyota Hilux Vigo แต่ทำไมพอมาเป็น MU-X แล้วเทียบกับ Fortuner ที่มีพื้นฐานมาจาก Vigo กลับเป็น Fortuner ที่หนึบกว่าซะงั้น การขับด้วยความเร็วสูงนี่ Pajero มั่นคงกว่าเยอะ เพราะมิติตัวถังเล็กกว่าอาจจะทำให้ต้านลมน้อยกว่า ความสูงจากพื้นเตี้ยกว่า ทำให้เวลาลมมาปะทะแล้วรู้สึกนิ่งกว่าเยอะ มีอาการโคลงน้อยกว่า แต่ถ้าขับไปพื้นที่ทุรกันดารในความเร็วต่ำความสูงใต้ท้องรถของ MU-X จะช่วยได้มากกว่า การเข้าโค้งการเกาะถนน Pajero ดีกว่าเยอะ แต่ฟีลลิ่งของพวงมาลัยผมยังแอบชอบของ MU-X มากกว่าเพราะมันให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับ Trailblazer ที่มีความหนืดให้รู้สึกได้ และรู้สึกหนักแน่นมั่นคงกว่า ในยามใช้ความเร็วสูง ในขณะที่พวงมาลัยของ Pajero ก็มีความแม่นยำดี แต่แอบรู้สึกหลวมๆ เบาๆ นิดหน่อย แต่น้ำหนักก็ถือว่าพอดีไม่ถึงกับเบาโหวงอย่าง Mazda CX5 กับ Mazda BT50 ด้านความคล่องตัวในการใช้งานในเมืองเป็น Pajero ที่ใช้ได้คล่องกว่าเพราะมิติตัวถังที่เล็กกว่า รัศมีวงเลี้ยว 5.6 เมตร แคบกว่า MU-X 5.7 เมตร (บางคนบอกว่าแค่ 0.1 เมตรมันจะต่างอะไรกันนักหนาแต่ลองแปลงหน่วยเป็นเซนติเมตรดูซิครับรัศมี 10 เซนติเมตร มันกว้างกว่าเยอะอยู่นะและส่งผลต่อการเลี้ยวโค้งมากด้วย) ทำให้เวลาเลี้ยวกลับรถหรือเข้าซองทำได้ง่ายและรวดเร็วกว่าลองจับเวลาตอนเข้าซองเล่นๆตั้งแต่จอดเทียบและถอยจอดจนเสร็จ Pajero ใช้เวลา ไม่ถึง 8 วินาที ส่วน MU-X ใช้เวลาประมาณ 10 วินาที (ถอยจอดแบบปกติไม่ได้รีบและไม่ซีเรียสกับเรื่องเวลา)

มาถึงขั้นสรุปผมจะไม่ฟันธงว่าให้ใครชนะทั้งคู่มีดีกันคนละแบบ Pajero ได้เปรียบเรื่องความเร็วปลาย ช่วงล่าง ความคล่องตัว MU-X ได้เปรียบเรื่องอัตราเร่งความเร็วต้น พื้นที่ใช้สอย ความประหยัดน้ำมัน ซึ่งก็แล้วแต่ท่านว่าจะชอบแบบไหน ถ้าได้ลองขับชอบคันไหนก็ตัดสินใจซื้อคันนั้นได้เลยครับ

คู่มือซ่อม บำรุง PAJERO SPORT (Service Manual)

อ่านบล็อกนี้ประกอบได้

PPV review: Mitsubishi Pajero Sport, Toyota Fortuner, Chevrolet Trailblazer, Isuzu MU-X

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

ใหญ่สมชื่อกับ Nissan NV350 Big Urvan

Nissan NV350 Big Urvan
หากจะกล่าวถึงรถตู้เพื่อการพาณิชย์ที่เป็นที่นิยมอยู่ทั่วทุกหัวระแหงของเมืองไทยตอนนี้คงจะหนีไม่พ้น Toyota Hiace Commuter เพราะสมรรถนะดีและบำรุงรักษาง่าย คงต้องบอกว่าอัตราเร่งดีจริงๆ เพราะนั่งรถตู้สายใต้ทีไรขับความเร็วเฉลี่ย 140-160 กิโลเมตร ตลอด แล้วคิดดูวิ่งไกลๆอย่างนั้นทุกวันได้นี่สภาพรถต้องอึดมากๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าบำรุงรักษากันยังไง และน้องใหม่ในเซกเมนต์นี้อย่าง Hyundai H1 ก็เริ่มทำคะแนนตามมาอยู่ห่างๆ โดยในตอนนั้น Nissan Urvan รุ่นใหม่ล่าสุดยังไม่ถือกำเนิด ปล่อยให้ Toyota Commuter กับ Hyundai H1 ทำคะแนน ไปก่อน แต่จะว่าไปกลุ่มคนที่ซื้อ Hyundai H1 นี่โดยทั่วไปจะไม่ได้ใช้เป็นรถโดยสารเพื่อการพาณิชย์แต่จะใช้เป็นรถครอบครัวไว้ใช้ในยามจำเป็นต้องเดินทางหลายๆคนมากกว่า เพราะ ศูนย์บริการยังไม่แพร่หลาย ใช้งานหนักๆเข้าอาจมีปัญหาเรื่องอะไหล่และการเซอร์วิส ด้วยเหตุนี้คู่แข่งสายตรงของ Toyota Commuter จึงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Nissan NV350 Big Urvan คันนี้ ซึ่งเหมาะจะใช้เป็นรถโดยสารก็ได้ จะใช้เป็นรถบ้านสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ก็ได้ (จริงๆ Toyota ก็ใช้ได้แต่ภาพลักษณ์มันเป็นรถประจำทางไปแล้ว)

Nissan NV350 Big Urvan มีอยู่ 3 รุ่นหลักๆ คือ รุ่นดีเซล 129 แรงม้าเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ราคา 1,158,000 บาท รุ่นเบนซินพร้อมระบบแก็ส CNG 147 แรงม้า เกียร์ธรรมดา ราคา 1,251,000 บาท และรุ่นท็อป CNG 147แรงม้า เกียร์ออโต้ราคา 1,299,000 บาท

โดยวันนี้ขอนำเสนอรุ่นดีเซลเกียร์ธรรมดา 1,158,000 บาท
รุ่นนี้มีพิกัดเครื่องยนต์ 2.5 ลิตรดีเซล 4 สูบ เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลัง 129 แรงม้าที่ 3,200 รอบต่อนาที แรงบิด 356 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400-2,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง ความจุถังน้ำมัน 65 ลิตร มิติตัวรถ กว้าง 1,880 มิลลิเมตร ยาว 5,230 มิลลิเมตร สูง 2,285 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,940 มิลลิเมตร น้ำหนักรถประมาณ 2 ตัน รถคันนี้เมื่อเข้าไปแล้วจะรู้สึกว่ามันกว้างขวางมาก และมีที่นั่งมากถึง 16 ที่นั่งเทียบกับ Commuter ที่ไม่ผ่านการดัดแปลงมีเพียง 12 ที่นั่งแล้วรู้สึกว่ากว้างกว่ากันพอสมควร และยังเหลือพื้นที่ว่างให้เดินเข้าออกได้อย่างสบาย และที่สำคัญมีแอร์ให้ครบทุกที่นั่งรวมทั้งหมด 18 ช่อง ทำให้การทำความเย็นเป็นไปอย่างทั่วถึง และมีเข็มขัดนิรภัยให้ครบทุกที่นั่งเช่นกัน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกก็ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกตำแหน่ง ด้านสมรรถนะอัตราเร่งก็ถือว่าทำได้ดีไม่แพ้ Commuter เกียร์ธรรมดา 5 สปีดจะมีสัญญาณเตือนในเวลาที่ควรเปลี่ยนเกียร์ เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ใช้เกียร์อย่างเหมาะสมกับรอบเครื่องยนต์ได้ดียิ่งขึ้น แต่ไฟสัญญาณจะขนาดเล็กหน่อยต้องสังเกตให้ดีๆ ช่วงล่างรู้สึกแน่นซับแรงสะเทือนได้ดีและเกาะถนนกว่า Commuter แต่ตัวรถกลับมีอาการโคลงและรู้สึกหนักมากกว่ายามใช้ความเร็วสูง อาจเป็นเพราะมิติตัวถังที่ใหญ่กว่าทำให้เกิดแรงเสียดทานอากาศมากกว่าจึงแสดงอาการออกมาชัดเจนกว่าก็เป็นได้ แต่ถ้าให้วิ่งทางไกลความเร็วเฉลี่ย 140-160 อย่างรถ Commuter ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ใครที่มองรถประเภทนี้อยู่และไม่อยากให้ดูเหมือนรถประจำทางก็ลองซื้อ Nissan NV350 Big Urvan คันนี้มาใช้ได้ รับรองสมรรถนะดีไม่แพ้กัน

มองจากด้านหลังก็โปร่งเห็นไปจนถึงด้านหน้า

All New Mitsubishi Triton จะมาเมื่อไหร่?

GR-HEV Concept
หลังจากปรากฏโฉม GR-HEV Concept ที่จะเป็นว่าที่ All New Triton รุ่นต่อไป จนมาถึงวันนี้ก็ผ่านไปหลายเดือนแล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะปรากฏโฉมอย่างเป็นทางการให้ได้เห็นเมื่อไหร่ ซึ่งตอนนี้หลายคนในสื่อ Internet ก็คาดกันว่ากว่าจะได้เห็นตัวจริงคงต้องเป็นปี 2015 และก่อนหน้านี้ไม่นานเท่าไหร่ก็มีภาพหลุด All New Triton ออกมาจากโรงงานที่หลายๆคนเห็นสภาพรูปร่างรูปทรงอันอุบาทว์ของมันแล้วต่างร้องยี้ และตอนนี้ภาพเหล่านั้นก็ว่อนไปทั่วสังคมออนไลน์แล้ว ขอเอาภาพมาให้ชมบางส่วน

เรามาดู feedback จากบรรดานักท่องเน็ตกันหน่อย

ความเห็นแรกบอกไม่เห็นมันจะคล้ายกับ Concept เท่าไหร่ รูปร่างดูเหมือนกระบะอินเดียอย่าง Tata หรือ Mahindra มากกว่าที่จะเป็น Mitsubishi ผิดหวังมากๆจากที่คิดว่าอย่างน้อย Concept มันก็ดูดึงดูดตาและน่าสนใจ ด้วยดีไซน์ที่แปลกนิดๆ

ความเห็นที่สอง บอกเอาน่าก็แค่รูปภาพคุณภาพต่ำ ภาพก็เล็ก ชัดก็ไม่ชัด แต่ก็น่าสนใจว่ารถคันจริงผลิตออกมาแล้วมันจะเป็นยังไง

ความเห็นที่สาม รถเพื่อการพาณิชย์ มันจะดูเหมือนอะไรก็ช่างหัวมันเหอะ (จริงๆ แปลแบบสุภาพเค้าแค่บอกว่าจะรูปร่างหน้าตายังไงไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก)

คนๆเดิมกับความเห็นที่สามกล่าวว่า ฉันไม่สนใจหรอกก็ฉันไม่ได้มองมันนี่ มันเป็นรถกระบะ สิ่งที่สำคัญที่สุดของรถกระบะคือ พื้นที่ใช้สอย ความประหยัด ความสะดวกสบาย ราคา ถ้าฉันซื้อมาขับคันหนึ่ง ก็มองรูปทรงภายนอกของมันไม่ได้อยู่ดีเพราะฉันนั่งขับอยู่ข้างใน ไม่ได้มีไว้จอดโชว์ซะหน่อย (สีแดงนี่เสริมเอาเอง) ความเห็นนี้ตรงกับความเห็นส่วนตัวของผมเองเหมือนกัน แต่ขอเพิ่มความสำคัญของสมรรถนะเครื่องยนต์ ช่วงล่าง อัตราเร่ง การทรงตัวและการควบคุมเข้าไปอีก ถ้าทำได้ดีทั้งคุณภาพการใช้งาน และสมรรถนะล่ะก็จะเป็นกระบะที่เพอร์เฟ็กเลย ส่วนรูปร่างหน้าตาก็อย่างว่า ถ้ารถสวยดูดีแต่ช้าเป็นหอยทาก ซดน้ำมันอย่างกับเขื่อนแตก ผมก็ไม่คิดจะอยากได้
ดูจากไฟหน้าไฟท้ายและโป่งล้อแล้วนับว่าอุบาทว์ได้โล่ห์อย่างเค้าว่ากันจริงๆ ที่ทาง Mitsubishi ว่าไว้ว่าจะไม่ต่างจากต้นแบบ GR-HEV นัก นี่มันไม่จริงเลย Concept ยังดูสวยกว่าเยอะ ยังกับหน้ามือขาวจั๊วะเทียบกับหลังตีนดำๆ หรือ ใบหน้าที่ผ่องใสเทียบกับขี้กลากใต้ร่มผ้า ดูแล้ว Triton ตัวเดิมโอเคกว่ากันเยอะ แต่ก็หวังว่าตัวเต็มออกมาจริงๆ แล้วมันจะดีกว่านี้ ซึ่ง Nissan Navara ก็เคยมีภาพหลุดกากๆ มาให้ได้เห็นเหมือนกันแต่ตัวเต็มออกมานับว่ามีรูปร่างรูปทรงที่สวยงามอยู่ แต่ถ้า Triton จะออกมาขี้เหร่อย่างในภาพจริง ก็ขอให้ทำสมรรถนะเหนือกว่าคู่แข่งแบบไม่เห็นฝุ่นผมคงยอมรับได้อยู่ ยกตัวอย่าง เครื่องยนต์ 200 แรงม้าขึ้นไป ทำอัตราเร่งจาก 0-100 ได้ต่ำกว่า 10 วินาที ความเร็วสูงสุดเกิน 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประหยัดน้ำมัน 20 กิโลเมตรต่อลิตร คุณภาพการขับขี่เหมือน Volkswagen Amarok อะไรอย่างนี้ แต่มันก็เป็นความหวังลมๆแล้งๆ ที่คงไม่ได้เห็นในรถกระบะเมืองไทยหรอก ว่ากันตามตรงถ้าออกมาหน้าตาแบบนี้แล้วสมรรถนะดันแย่อีกนี่ ถ้ายังรักในยี่ห้อ Mitsubishi อยู่คงไปเลือกซื้อ Triton ตัวเดิมดีกว่า พูดแล้วก็คิดถึง Mitsubishi ยุค Strada กับ L200 Cyclone เหลือเกิน อยากให้แนวทางแบบนั้นกลับมาสู่กระบะ Mitsubishi อีกครั้ง ซึ่งดูท่าคงจะไม่ได้เห็น Mitsubishi ที่ดีไซน์แข็งแกร่งบึกบึนแล้ว เหลือแต่ดีไซน์แบบกระเทยอ่อนปวกเปียก แต่ถ้าออกมาเหมือนตัว Concept ก็เป็นอีกเรื่องเพราะมันดูออกแนวรถสปอร์ตดีเหมือนกัน

ตอนนี้รถจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ก็ยังไม่แน่ชัด รู้แต่ว่าอาจเป็นปี 2015 แต่ก็ขอเอาข่าวคราวจาก Mitsubishi Australia มาฝากหน่อย โดยทาง Mitsubishi กล่าวว่า Triton รุ่นต่อไปจะมีแนวทางคล้ายกับ Ford Ranger และ Nissan Navara ซึ่งถ้าเป็นงั้นได้ก็ดี โดยจะทำให้รู้สึกเป็นรถยนต์นั่งมากขึ้น รู้สึกยืดหยุ่น ผ่อนคลาย เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก มีความกว้างใหญ่ทั้งห้องโดยสารและกระบะหลัง (แต่อย่าละเลยเรื่องสมรรถนะการบรรทุกไปซะล่ะ) และก็มีคำยืนยันออกมาแล้วว่ารูปร่างหน้าตาจะไม่ได้มีดีไซน์สืบทอดมาจาก GR-HEV เลย ซึ่งพอได้รู้แล้วแอบรู้สึกสยองว่ามันจะออกมาเหมือนในภาพที่หลุดออกมาจริงๆ และเครื่องยนต์อาจจะเป็นเบนซิน 2.4 ลิตร และ ดีเซล 2.5 ลิตร เทอร์โบ ที่พัฒนาขึ้นจากเดิม ซึ่งตัว 2.5 ดีเซล เทอร์โบ อาจจะมีแรงม้าเท่าเดิม แต่อัตราประหยัดน้ำมันดีขึ้น และอีกพิกัดที่กำลังพิจารณากันอยู่ก็คือ สร้างเครื่องยนต์ใหม่ ดีเซล 2.2 ลิตร และก็อาจมีรุ่นท็อปเป็นดีเซล Plug-in Hybrid ซึ่งถ้ามีรุ่นไฮบริด วางขายในไทยล่ะก็ รูปร่างรูปทรงจะยังไงไม่สนใจแล้ว เพราะอย่างน้อยก็ได้ชื่อว่าเป็นกระบะดีเซลไฮบริดคันแรกของไทยไปแล้ว ขอให้ขายรุ่นไฮบริดในไทยด้วยเหอะจะขอกราบงามๆเลย
เปิดตัว All New Mitsubishi Triton อย่างเป็นทางการแล้ว ดูรายละเอียดที่นี่

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557

Porsche 918 Spyder วิวัฒนาการที่ผสมผสานความเร็วกับการใช้งานได้อย่างลงตัว

Porsche 918 Spyder
Porsche 918 Spyder เป็น Plug-in Hybrid ซูเปอร์คาร์คันแรกที่ออกวางขายก่อน Mclaren P1 และ Ferrari LaFerrari วางขายเพียง 918 คันและตอนนี้เป็น Production Car ที่มีผลงานอย่างเป็นทางการที่ Nurburgring Nordschleife ดีที่สุดทำได้ 6 นาที 57 วินาที (รุ่น Weissach Package) ขับโดยนักขับของ Porsche เอง เป็นรองแค่ Radical SR8LM กับ Radical SR8 ที่ทำเวลาได้ 6:48 นาที และ 6:55 นาที ตามลำดับ และรถสองคันนั้นไม่ใช่ Production Car รถที่เป็น Road Legal จริงๆที่ทำเวลาได้ต่ำกว่า 7 นาทีอย่างเป็นทางการ มี Porsche 918 Spyder คันนี้คันเดียว ถึงแม้จะมีข่าวลือว่า Mclaren P1 จะทำได้ 6:33 นาที แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันถือว่าตัวเลขนี้ยังเชื่อถือไม่ได้ มีแต่เพียงคำยืนยันจากปาก Mclaren เองว่าทำได้ต่ำกว่า 7 นาทีตรงนี้น่าจะเป็นไปได้มากกว่า แต่ก็ยังไม่มีการะบุเวลาอย่างชัดเจนคาดว่าทาง Mclaren คงรอให้ Ferrari ประกาศผลเวลาของ LaFerrari อย่างเป็นทางการเสียก่อนหลังจากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะประกาศตัวเลขอย่างเป็นทางการของตัวเองหรือไม่ ซึ่งก็มีข่าวลือออกมาเหมือนกันว่าทำได้ 6:35 นาที แต่ก็ยังไม่มีใครออกมายืนยันตัวเลขนี้อย่างเป็นทางการ ซึ่งดูแล้วก็พอจะเดาสถานการณ์ออกว่า หากฝ่ายใดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการมาแล้วอีกฝ่ายยังอุบไว้เป็นความลับก็แสดงว่าฝ่ายนั้นทำเวลาได้ช้ากว่า ซึ่งสถานการณ์มันกดดัน Ferrari มากกว่าเพราะรถราคาแพงกว่า 918 Spyder กับ P1 หากว่า P1 ทำเวลาได้แย่กว่า LaFerrari ก็ยังแก้ตัวได้ว่ารถ P1 คันนี้ขายราคาถูกกว่า แต่หาก LaFerrari ช้ากว่าล่ะก็จะไม่มีข้อแก้ตัวอะไรเลย

เอาล่ะจบเรื่องสงคราม Hybrid Supercar มาว่ากันต่อที่สมรรถนะของ 918 Spyder กันได้แล้ว Porsche 918 Spyder ใช้เครื่องยนต์วางกลาง V8 4.6 ลิตร ขับเคลื่อนสี่ล้อพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ลูก ผ่านเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 สปีด เฉพาะเครื่องยนต์ให้พละกำลัง 608 แรงม้า และมอเตอร์ 2 ลูก ให้กำลัง 279 แรงม้า รวมพละกำลังทั้งหมด 887 แรงม้า ที่ 8,500 รอบต่อนาที และแรงบิดรวมทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ออกมาทั้งหมด 1,275 นิวตัน-เมตร น้ำหนักรุ่นมาตรฐาน 1,700 กิโลกรัม ส่วนรุ่น Weissach Package หนัก 1,640 กิโลกรัมเบาลง 60 กิโลกรัม รถคันนี้ทำความเร็วจาก 0-100 ได้ใน 2.6 วินาที 0-200 ใน 7.2 วินาที และ 0-300 ใน 19.9 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 345 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราประหยัดน้ำมันโดยเฉลี่ย (ใช้ระบบ Hybrid พร้อมกับเครื่องยนต์วิ่งในโหมดประหยัด ในเมืองและบนไฮเวย์) 33.3 กิโลเมตรต่อลิตร น่าทึ่งมาก ประหยัดซะยิ่งกว่า eco car แต่ต้องแลกมาด้วยราคารถที่แสนแพงเหมือนกัน ปล่อย CO2 79 กรัมต่อกิโลเมตร แต่ถ้านับเฉพาะเครื่องยนต์ขับในโหมดปกติอัตราประหยัดน้ำมันเฉลี่ยจะอยู่ที่ 9.09 กิโลเมตรต่อลิตร ความจุถังน้ำมัน 70 ลิตร ถ้าใช้เฉพาะน้ำมันพิสัยการเดินทางเมื่อเติมน้ำมันเต็มถังจะอยู่ที่ 636.3 กิโลเมตร ความจุกระโปรงท้าย 110 ลิตร ใช้ล้อและยาง หน้า 20 นิ้ว หลัง 21 นิ้ว จากโรงงาน

ความเห็นจากนักทดสอบนิตยสาร Autocar ให้ความเห็นไว้ว่ารถคันนี้เข้าโค้งได้เรียบนิ่งไม่หวือหวาแต่ก็รู้สึกได้ว่าเร็ว พวงมาลัยแม่นยำอย่างกับจับวางแต่ยังขาดสัมผัสที่ส่งมาจากล้อทั้งสี่อยู่นิดหน่อย เพราะเป็นพวงมาลัยไฟฟ้าไม่เหมือนพวงมาลัยไฮดรอลิกของ Porsche 911 ในยุค 90 ที่จะให้สัมผัสเป็นธรรมชาติมากกว่า และรับรู้ถึงสภาพพื้นผิวและทิศทางของล้อได้อย่างแท้จริง (ตรงจุดนี้ Mclaren 650S น่าจะทำได้ดีกว่าเรื่องสัมผัสที่ละเอียดอ่อน และการสื่อสารระหว่างคนกับรถ ในวงเล็บนี้เป็นความเห็นของผมเอง) ช่วงความเร็วถึง 290 กิโลเมตรต่อชั่วโมงมีความรู้สึกว่าเร็วกว่า Bugatti Veyron รุ่นมาตรฐาน แปลให้ชัดก็คือ ถ้าขับในช่วงความเร็วไม่เกิน 290 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 918 Spyder คันนี้จะรู้สึกว่าเร็วกว่า Veyron ตลอดเวลา ในทุกช่วงความเร็วไม่ว่าจะ 0-60, 60-120, 120-180 หรือ 180-290 ไม่เพียงแค่นั้นมันยังทำงานได้อย่างดีเยี่ยมในโหมดขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว โดยในโหมด e-drive มันยังสามารถทำความเร็วจาก 0-97 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 6.2 วินาที และรถก็ขับไปได้อย่างเงียบเชียบ เรียกว่าสามารถเปลี่ยนบุคลิกจาก supercar ความเร็วสูง ไปเป็นรถบ้านที่ใช้งานง่าย ได้โดยเพียงแค่กดปุ่มเปลี่ยนโหมดการขับขี่ จะบอกว่ารถคันนี้คนขับสามารถใช้งานได้ทุกเพศทุกวัยหากมีปัญญาซื้อก็ว่าได้ Porsche 918 Spyder ทั้งแรงทั้งประหยัดและอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าตามแบบฉบับรถเยอรมัน ส่วนราคาขาย ในอังกฤษ ตั้งราคารุ่นมาตรฐานไว้ที่ 781,155 ปอนด์ ส่วนรุ่น Weissach Package มีราคาที่ 853,155 ปอนด์


เปรียบเทียบ Hybrid Supercar ทั้ง 3 คัน

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

Pagani Huayra เทพเจ้าแห่งสายลม

Pagani Huayra
Pagani ชื่อนี้อาจจะยังไม่เป็นที่คุ้นหูกับคนบ้านเรานัก เว้นแต่จะสนใจในเรื่องซูเปอร์คาร์ หรืออาจจะผ่านตามาจากเกมส์ Need For Speed จุดเริ่มต้นของรถยี่ห้อนี้เริ่มต้นมาจาก คุณ Horacio Pagani ผู้ซึ่งสมัยเด็กชอบสนุกกับการประกอบรถยนต์จากไม้บัลซ่า เริ่มต้นการทำงานกับบริษัทรถยนต์อย่างเป็นทางการด้วยการเป็นหัวหน้าวิศวะกร ของ Lamborghini และก็ได้แยกทางกับ Lamborghini ในปี 1991 ไปตั้ง workshop ของตัวเองชื่อ Modena Design ซึ่งผลิตงานคาร์บอนไฟเบอร์ สำหรับรถฟอร์มูล่าวัน จนต่อมาสามารถตั้งบริษัทผลิตรถยนต์ของตัวเองชื่อ Pagani Automobili ในปี 1992 และใช้เวลาสร้างรถยนต์รุ่นแรกนานถึง 7 ปี ก่อนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 1999 ที่งานเจนีวามอร์เตอร์โชว์ รถคันนั้นก็คือ Pagani Zonda ที่ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วย Pagani Huayra คันนี้ ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ในปี 2012 โดยนิชคาร์ มากับสนนราคาหฤโหดถึง 75 ล้านบาท และรถคันนี้ก็ให้สมรรถนะได้สมกับราคาของมันเหมาะกับฉายา เทพเจ้าแห่งสายลม อย่างเต็มภาคภูมิ (Huayra อ่านว่า วาย-ร่า แปลว่า ลม) ผลงานจะเป็นอย่างไรกันบ้างลองมาดูข้อมูลทางเทคนิคกัน

Pagani Huayra ใช้เครื่องยนต์ของ Mercedes AMG รหัส M158 V12 สูบ SOHC 36 วาล์ว ความจุกระบอกสูบ 6.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ เครื่องยนต์วางกลาง ขับเคลื่อนล้อหลัง ประตูเปิดแบบปีกนก รถคันนี้มีแรงม้าสูงสุดที่ 720 แรงม้า ที่ 5,800 รอบต่อนาที แรงบิด 1,000 นิวตัน-เมตร ที่ 2,250 รอบต่อนาที ด้วยพละกำลังเหล่านี้มันสามารถส่งตัวรถที่มีน้ำหนัก 1,350 กิโลกรัมคันนี้ พุ่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.2 วินาที และมีความเร็วสูงสุดที่ 372 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราประหยัดน้ำมัน 4.35 กิโลเมตรต่อลิตร ในเมือง และ 5.88 กิโลเมตรต่อลิตร บนไฮเวย์ ปล่อยไอเสีย 343 กรัมต่อกิโลเมตร แน่นอนว่ายิ่งเร็วยิ่งเปลืองเป็นธรรมดา รถคันนี้สร้างผลงานอันน่าตื่นตาไว้ใน Top Gear Test Track มันทำเวลาได้ 1 นาที 13.80 วินาที เป็นรองเพียง Caparo T1 1 นาที 10.60 วินาที และ Ultima GTR 720 1 นาที 12.80 วินาที ซึ่งรถทั้งสองคันไม่ใช่ Production Car ซึ่งถ้านับเฉพาะ Production Car แล้ว Pagani Huayra ทำเวลาได้ดีที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง เร็วกว่าทั้ง Mclaren MP4-12C 1 นาที 16.20 วินาที Lamborghini Aventador 1 นาที 16.50 วินาที Bugatti Veyron 16.4 Super Sport 1 นาที 16.80 วินาที

ความรู้สึกของการขับรถคันนี้เป็นยังไง? Ben Barry แห่ง นิตยสาร Car Magazine สาธยายให้ฟังว่าเมื่อคุณเข้าไปขับรถคันนี้ควรจะเปิดกระจกให้อากาศได้ถ่ายเทมากที่สุด เพราะเครื่องยนต์ของมันอยู่ใกล้กันกับตำแหน่งบ้องหูของคุณแค่นั้นเองเมื่อคุณอยู่ในตำแหน่งเบาะนั่งคุณจะได้ยินเสียงเครื่องอย่างชัดเจนราวกับพายุเฮอร์ริเคนซัดเข้าบ้องหูเต็มๆ ดังนั้นการปิดกระจกจึงเหมือนกับการเก็บเสียงให้สาดใส่รูหูคุณอยู่คนเดียวทางที่ดีควรเปิดให้มันสาดใส่บ้องหูคนข้างนอกบ้าง แต่เสียงเครื่องยนต์และท่อไอเสียมันก็ฟังดูเพลินดี ถ้าเปรียบเสียงของ Pagani Zonda เป็นดนตรีป็อปร็อคจังหวะสนุก ที่สร้างสรรค์มาจากฝีมือการเล่นดนตรีแล้วล่ะก็ เสียงของ Pagani Huayra ก็จะเป็นดนตรี Industrial Techno เบสหนักๆ ในแบบเสียงสังเคราะห์ ก็คือเสียงของ Zonda มาจากเครื่องยนต์ล้วนๆ ส่วนของ Huayra เทอร์โบคู่ของมันมีส่วนสร้างเสียงออกมาอยู่มาก ในรอบต่ำมันจะยังไม่รู้สึกพุ่งทะยานเหมือน Lamborghini Aventador แต่ถ้าช่วงพาวเวอร์แบนด์ที่ 6,000 รอบต่อนาทีล่ะก็ มันพุ่งไปไวอย่างกับกระสุนปืนจนบางทีคุณอยากจะเหยียบเบรกยังเหยียบแทบไม่ทัน แต่อย่างไรก็ตามเกียร์คลัทช์คู่ของ Huayra ก็สามารถจัดการแรงบิดทั้ง 1,000 นิวตัน-เมตร ได้อยู่หมัด เพื่อไม่ให้กำลังทั้งหมดส่งมันไถลลงข้างทาง เพราะทาง Pagani คงพิจารณาแล้วว่ากลุ่มลูกค้าของเขาไม่ใช่กลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญในการขับรถเท่าไหร่ จึงพยายามทำให้มันขับง่ายในชีวิตประจำวันเข้าไว้จะดีกว่า ซึ่งเวลาคุณขับก็จะเหมือนกับมีครูฝึกคอยประคับประคองคุณไปตลอดทาง เมื่อคุณกำลังจะออกนอกลู่นอกทางระบบก็จะเข้าแทรกแซงไม่ให้เกิดอันตรายขึ้นมาได้ ซึ่งถ้าคุณไม่ชอบและมั่นใจว่าเซียนแล้วก็ปิดระบบช่วยเหลือต่างๆไปซะหมดเรื่อง ที่นี้คุณก็จะได้รู้สึกถึงพลังของมันเต็มๆ เหมือนกับคุณเป็นฟงอวิ๋นขี่พายุทะลุฟ้าอยู่ เพราะ มันเหมือนกับคุณอยู่ตัวเปล่าไม่มีอะไรห่อหุ้มแล้วโดนพายุพัดไปไหนต่อไหนหลายๆที่ เหมือนเป็นฉากตัดไปตัดมา ถ้าคุณเหยียบคันเร่งไม่ยอมถอนล่ะก็นะ มันให้ความรู้สึกว่าเร็วอย่างไม่ต้องสงสัย ชิ้นงานการประกอบก็ดูประณีตล้วนแล้วแต่เป็นงานคาร์บอนไฟเบอร์ชั้นยอดทั้งนั้น ก็เพราะเจ้าของเป็นนักออกแบบนี่แหละ มันถึงออกมาได้งดงามขนาดนี้ แต่ดูท่าคงมีไม่กี่คนที่จะมีโอกาสได้สัมผัสกับมัน ด้วยจำนวนการผลิตที่ไม่มาก ประกอบกับราคาที่ต้องบอกว่าถ้าเป็นผมคงเอาเงินจำนวนนั้นไปลงทุนทำธุรกิจจะดีกว่า (แต่ก็เห็นเศรษฐีหลายคนซื้อมันมาขับแล้ว ในบ้านเราไม่รู้มีใครซื้อไปรึยัง) ถ้าอยากลองขับมันแบบง่ายๆ ก็ไปเล่นเกมส์ Need For Speed เอาละกัน

เร็วแค่ไหนเจอรถติดก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน เฮ้อ...

วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557

Alfa Romeo 4C สปอร์ตตัวเล็ก 4 สูบ ที่เสียงดังยิ่งกว่าเครื่อง V12

Alfa Romeo 4C
Alfa Romeo 4C รถสปอร์ตเครื่องยนต์ 4 สูบที่สืบทอดเทคโนโลยีมาจาก Alfa Romeo 8C Competizione ปรากฏตัวครั้งแรกที่งานเจนีวามอร์เตอร์โชว์ 2011 ในรูปแบบ Concept Car แล้วก็เริ่มออกวางขายอย่างเป็นทางการในปี 2013 โดยเริ่มผลิตในเดือน พฤษภาคม ที่โรงงานของ Maserati ใน Modena เจ้า Alfa Romeo คันนี้คงจะมีแนวทางคล้ายกับ Lotus ที่เน้นรถน้ำหนักเบาขับสนุก เหยียบคันเร่งทีตัวแทบปลิว และมันก็น่าจะจับมา VS. กันจริงๆ ซึ่งนิตยสารรถยนต์หลายฉบับก็ทดสอบกันไปแล้ว ผลออกมาเป็นเช่นไรไม่ขอพูดถึงในที่นี้ แต่จะขอนำเสนอตัวเลขสมรรถนะของ 4C ก่อน

Alfa Romeo 4C ที่มีราคาขายในอังกฤษ 45,000 ปอนด์ คันนี้ ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ เบนซิน เทอร์โบ วางกลางแนวขวาง ความจุกระบอกสูบ 1,742 C.C. อัตราส่วนกำลังอัด 9.25:1 ขับเคลื่อนล้อหลัง ผ่านเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 6 สปีด รถคันนี้มีแรงม้าสูงสุด 237 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 2,100 รอบต่อนาที ด้วยน้ำหนักตัวเพียง 895 กิโลกรัม ทำให้มันสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 257 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราประหยัดน้ำมัน 14.6 กิโลเมตรต่อลิตร (พอๆกับรถบ้านบางรุ่น) ก่อไอเสีย 157 กรัมต่อกิโลเมตร ความจุถังน้ำมัน 40 ลิตร พิสัยการเดินทางเมื่อเติมน้ำมันเต็มถัง 584 กิโลเมตร มิติตัวถัง กว้าง 1,864 มิลลิเมตร ยาว 3,989 มิลลิเมตร สูง 1,183 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,380 มิลลิเมตร

ด้านบทวิจารณ์ของนักขับทดสอบนัดมีความเห็นว่า 4C เป็นรถที่มีเสียงดังเอามากๆ โดยนักขับพึ่งเสร็จจากการทดสอบ Aston Martin V12 Vantage S ที่เรียกว่าเสียงดังอย่างกับฟ้าผ่าแล้ว มาขับรถ 4C คันนี้ต่อแล้วยังบอกว่า 4C เสียงดังกว่าเอามากๆ คาดว่าน่าจะเป็นเพราะท่อแต่งแบบสปอร์ตคาร์บอนไฟเบอร์ ที่แต่งมาให้ Alfa Romeo 4C โดยเฉพาะ ซึ่งไม่แน่ใจว่าต้องจ่ายเพิ่มให้กับ Package นี้รึเปล่า ใครที่ขับรถคันนี้ต้องทำใจหน่อยเวลาเปิดเครื่องเสียงฟังเพลง เพราะในระดับความเร็วเกิน 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เสียงเครื่องยนต์ และท่อไอเสีย จะกลบเสียงเพลงไปหมดเลยแม้คุณจะเปิดเครื่องเสียง volume สุดแล้วก็ตาม ถ้าขับตามถนนเมืองไทยอาจโดนร้านส้มตำเขวี้ยงปลาร้าใส่ได้ เพราะมันดังโหวกเหวกน่ารำคาญ แต่ก็ยังดังแบบมีคลาสกว่าพวกแว๊นซ์แถวบ้านเรา ถ้าเทียบกันก็ประมาณเสียงปืน .50 คาร์ลิเบอร์ไรเฟิล ถอดปลอกเก็บเสียง เทียบกับปืนสั้น 9 มม. ตลาดๆ บ้านเราเนี่ยแหละ เสียงมันฟังดูราคาแพงกว่าเยอะ (วิเคราะห์จากเสียงได้ด้วยเหรอ?) มันเป็นความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ หากอยากฟังเสียงว่ามันเป็นยังไง ก็ลองเสิร์จในยูทูปพิมพ์คำว่า Alfa Romeo 4C Engine หรือ Exhaust sound ดู หรือพิมพ์ว่า Alfa Romeo 4C Rev Engine อะไรประมาณนี้ ด้านการขับทดสอบนักขับมีความเห็นว่ารถคันนี้ขับได้ดิบมาก จนบางทีอาจรู้สึกว่าขาดความประณีตไป แต่ก็ต้องยอมรับเรื่องความเร็วและความคล่องตัวในการมุดโค้งแคบๆ รถคันนี้บูสท์เทอร์โบทำงานได้ดุเดือดมาก (คงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เสียงดัง) สรุปเลยก็คือในรถสปอร์ตระดับเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน มันขาดในสิ่งที่หลายๆ คันมี แต่ก็มีในสิ่งที่หลายๆ คันขาดอีกเช่นกัน ถ้าเปรียบเป็นคนก็ประมาณ คนเซอร์ๆ ติสท์ๆ ที่มีความเพี้ยนและสเน่ห์ในแบบฉบับของตัวเองนั่นเอง

ดูจากด้านหลังก็อาร์ทตัวพ่อเลยเหมือนกัน

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

Jaguar XKR-S GT: ร่างสุดยอดของ Grand Tourer Jaguar XK

Jaguar XKR-S GT
ปัจจุบัน Jaguar XK ได้ยุติบทบาทของตัวเองในสายพานการผลิตของ Jaguar ไปแล้ว ด้วยมี Jaguar F-Type มาแทนที่ แต่จริงๆ แล้วตำแหน่งทางการตลาดของรถสองคันนี้จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง XK จะมีบุคลิกไปทาง Grand Tourer มีราคาที่สูงกว่าในระดับหนึ่งอยู่ใน Segment ที่คาบเกี่ยวกับ Maserati GranTurismo  ที่มีราคา 93,720 ปอนด์ (เฉพาะรุ่น XKR-S ที่มีราคา 97,490 ปอนด์ ส่วนรุ่นมาตรฐานราคาอยู่ระดับเดียวกับ F-Type) ลักษณะของ XK จะมีบุคลิกของรถนั่งทางไกลมากกว่า ส่วน F-Type จะมีความเป็นรถสปอร์ตมากกว่า แต่ดูเหมือนว่าทาง Jaguar ไม่อยากให้มันทั้งคู่มาแย่งยอดขายกันเอง จึงได้ดัน F-Type ที่ใหม่สดกว่า แล้วเลิกผลิต XK ไปโดยยังไม่มีรถรุ่นสืบทอด แต่ก่อนจากก็ยังได้ทิ้งทวนด้วยการสร้าง XKR-S GT ซึ่งเป็นรุ่นท็อปสมรรถนะจัดเต็ม ไว้ลายที่เคยทำตลาดมาอย่างยาวนาน และราคาก็แพงลิบที่ 135,000 ปอนด์ ไปแตะขอบเขต 138,000 ปอนด์ ของ Aston Martin V12 Vantage S เข้าอย่างจัง และ Jaguar XKR-S GT คันนี้ มีสมรรถนะเป็นอย่างไรบ้างไปดูกัน

Jaguar XKR-S GT มากับเครื่องยนต์ V8 เบนซินซูเปอร์ชาร์จ 5.0 ลิตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5:1 เครื่องยนต์วางหน้าแนวยาวขับเคลื่อนล้อหลัง ผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดของ ZF เครื่องยนต์มีพละกำลังสูงสุด 550 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิด 680 นิวตัน-เมตร ที่ 2,500 รอบต่อนาที แบบเดียวกับ F-Type แต่ด้วยน้ำหนักที่เบากว่า XKR-S GT ที่มีน้ำหนัก 1,713 กิโลกรัม สมารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ดีกว่าที่ 3.9 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราประหยัดน้ำมัน 8.1 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อย CO2 292 กรัมต่อกิโลเมตร ความจุถังน้ำมัน 74 ลิตร พิสัยการเดินทางเมื่อเติมน้ำมันเต็มถังเท่ากับ 599.4 กิโลเมตร มิติตัวถัง กว้าง 1,892 มิลลิเมตร ยาว 4,794 มิลลิเมตร สูง 1,312 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,752 มิลลิเมตร รถจากโรงงานใช้ล้อ 20 นิ้วทั้งหน้าหลัง

จากปากคำของนักวิจารณ์กล่าวไว้ว่า XKR-S GT นั้นแทบสลัดคราบ Grand Tourer จนหมดเปลือก มันมีสุ้มเสียงเครื่องยนต์ที่ดังแบบห้าวๆ คมและบาดลึก เครื่อง V12 ของ Aston Martin V12 Vantage S นี่ว่าดังแล้ว เจอเครื่อง V8 ของ XKR-S GT เข้าไปนี่ปลุกผีตื่นทั้งป่าช้า มันเป็นรถสำหรับขับในสนามแข่งขันจริงๆ และก็ยังสามารถขับในชีวิตประจำวันได้ดีพอตัว ช่วงล่างอาจแข็งไปหน่อยแต่ก็สามารถขับผ่านลูกระนาดไปได้อย่างสบายเหมือนเหินข้ามไปไม่ได้กระแทกจนไข่สั่นเป็นสันนิบาต พวงมาลัยมีความเฉียบคมแม่นยำดังเช่น Jaguar ในยุคปัจจุบัน หลายๆรุ่น รถคันนี้มีคุณภาพการขับขี่ที่ดีแม้ว่าจะมีบุคลิกที่ดิบกร้าวขึ้น แต่การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารจัดการได้อย่างดีทั้งเสียงยางที่เสียดสีกับพื้นถนน ทั้งเสียงลมที่เข้ามาปะทะกับตัวถัง หรือควรจะเรียกว่ามันไหลผ่านไปเลยจะดีกว่า เพราะ เสียงเหล่านั้นไม่ค่อยจะมีผลกระทบต่อด้านในเลย แต่ด้านนอกเจอเสียงเครื่องกับท่อไปนี่หูแตกแน่ ถ้าจะใช้ XKR-S GT เป็นพาหนะประจำวันก็ใช้ได้ดี เพราะมันรับมือกับพื้นผิวถนนที่ไม่ปกติได้ ติดอยู่แค่เรื่องเสียงเท่านั้นเองที่ไม่รู้ว่าผ่านการตรวจจับเสียงได้ยังไง ถ้าวิ่งผ่านร้านลาบอาจโดนแม่ค้าขว้างข้าวเหนียวให้เป็นของรางวัลแน่ สุดท้ายก็สรุปได้ว่าเป็นการทิ้งทวนรุ่น XK ที่น่าจดจำรุ่นหนึ่ง เสียดายที่ไม่มีทายาทสืบทอด แต่ไม่เป็นไร Jaguar E-Type ที่เลิกวางขายไปตั้งหลายชาติแล้วยังมี F-Type มาสืบทอด ในอนาคต Jaguar XK อาจจะมีรุ่นสืบทอดชื่อ Jaguar XL ก็ได้ใครจะไปรู้ (ตั้งชื่อมันซะเองเลย ชื่อโคตรตลก)

ทำได้ดีสมกับเป็นรุ่นทิ้งทวน



Mclaren 650S ราคา สเป็ค รีวิว

Mclaren 650S
Mclaren 650S แม้ภายนอกจะดูเหมือนเป็นการไมเนอร์เชนจ์เอากระจังหน้า Hybrid Supercar อย่าง Mclaren P1 มารวมกับบั้นท้ายของ Mclaren MP4-12C แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่แค่การเฟสลิฟท์เพียงเล็กน้อยเลยเพราะสมรรถนะภายในนั้นได้พัฒนาไปมากนักทดสอบรถยนต์ถึงกับเอ่ยปากว่าว่าถ้าได้ขับแล้วแทบจะลืม 12C ไปได้เลย ด้วยรถที่วางตำแหน่งตัวเองไว้ระหว่างกลาง P1 กับ 12C ราคาของมันเมื่อนำเข้ามาในไทยจึงอยู่ที่ 26 ล้านบาทไทย นำเข้าโดยนิชคาร์ นับว่าเป็นราคาที่ถูกมากเมื่อเทียบกับราคาขายที่ต่างประเทศ 195,000 ปอนด์ บวกภาษีสุดโหดของไทยยังสามารถวางขายได้ในราคานี้ซึ่งเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับ Ferrari F458 Italia 25.5 ล้าน และ Porsche 911 Turbo S 26.05 ล้าน ทั้งๆที่ราคาในต่างประเทศค่อนข้างต่างกันชัดเจน Ferrari 169,545 ปอนด์ Porsche 140,000 ปอนด์ (สังเกตราคาที่ต่างประเทศ ราคา Porsche ถูกกว่าตั้ง 55,000 ปอนด์ คิดเป็นเงินบาทก็ 2 ล้านปลายๆ แล้ว นี่ยังไม่นับรวมอัตราภาษีอีก เอาจริงๆ Porsche มันควรจะถูกกว่ามากๆ แต่พอนำเข้ามาในประเทศไทยจริงๆกลับแพงกว่า 650S 50,000 บาท ซะงั้น จะเป็นเพราะอะไรช่างมันเหอะถ้าคิดว่าแพงก็ไม่ซื้อซะก็แค่นั้น ไม่มีใครเอาปืนจ่อหัวบังคับซื้อซะหน่อย ถ้าเลือกซื้อรถเพราะสมรรถนะล่ะก็ 650S ดูจะน่าคบและราคาคุ้มค่ามากกว่า) ตอนแรกก่อนที่มันจะเข้ามาคิดว่า 650S จะขายที่ราคา 30 ล้านบาทซะอีก ซึ่งก็ดีแล้วที่คิดผิด จะได้เพิ่มโอกาสครอบครองมันมากขึ้น (เก็บตังค์อีกกี่ชาติวะเนี่ย) นอกจากราคาจะถูกกว่าที่คิดแล้วตัวเลขสมรรถนะยังสุดยอดเอามากๆ เอาล่ะมาดูรายละเอียดกันเลย

Mclaren 650S ใช้เครื่องยนต์ร่วมกับ 12C รหัส M838T V8 สูบ 32 วาล์ว ความจุ 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบ อัตราส่วนกำลังอัด 8.7:1 ที่อัพเกรดพละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 650 แรงม้าที่ 7,250 รอบต่อนาที (แรงม้าสูงสุดมาที่รอบต่ำกว่า Lamborghini Huracan ถึง 1,000 รอบต่อนาที) แรงบิด 678 นิวตัน-เมตร ที่ 6,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง น้ำหนักรถ 1,428 กิโลกรัม กระจายน้ำหนักด้านหน้า 42.5% ด้านหลัง 57.5% ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.0 วินาที 0-161 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ 5.7 วินาที 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 8.4 วินาที ทำความเร็วจากจุดหยุดนิ่งถึงควอเตอร์ไมล์ได้ 10.5 วินาทีที่ความเร็ว 224 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร่งความเร็วไประยะทาง 1 กิโลเมตร ได้ภายใน 18.9 วินาทีที่ความเร็ว 281 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วสูงสุด 333 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันโดยเฉลี่ย 11.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือคิดเป็นอัตราการประหยัดน้ำมัน 8.547 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อย CO2 275 กรัมต่อกิโลเมตร ความจุถังน้ำมัน 72 ลิตร ทำให้มีพิสัยการเดินทางที่น้ำมันเต็มถัง 615.384 กิโลเมตร ระยะเบรกของรถคันนี้จาก 100-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใช้ระยะ 30.5 เมตรหรือ 100 ฟุต จาก 200-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใช้ระยะ 123 เมตรหรือ 404 ฟุต รัศมีวงเลี้ยว 12.3 เมตร

ตัวเลขสมรรถนะต่างๆดูดีมากๆ แล้วนักขับทดสอบก็มีความเห็นว่า Mclaren 650S มีการสื่อสารระหว่างล้อทั้งสี่ล้อกับพวงมาลัยอย่างชัดเจนมันจะสามารถควบคุมรถได้อย่างละเอียดและมั่นใจกว่าเมื่อปิดระบบ Stability Control (แสดงว่าปิดแล้วจะรู้สึกถึงทิศทางการเลี้ยวของล้อได้ดีกว่า) เมื่อมันเกิดสุดลิมิตแล้วมันจะส่งความรู้สึกมาให้รับรู้ทำให้คุณตัดสินใจได้ถูกว่าจะทำยังไงต่อไป การสื่อสารระหว่างรถกับคนขับนั้นทำได้ดีและละเอียดมาก ไม่เหมือนรถหลายๆคันที่ขับไปจับอาการอะไรไม่ได้เลยสุดท้ายขับหลุดโค้งตกข้างทาง 650S สามารถใช้ขับได้ดีในชีวิตประจำวันโดยใช้ Normal Mode และ Sport Mode และมันก็รู้สึกนั่งสบายเมื่อต้องขับทางไกลโดย Normal Mode จะรู้สึกเหมือนขับรถหรูเกียร์ออโต้อย่าง Bentley และ Rolls-Royce ส่วนใน Sport Mode จะรู้สึกกระฉับกระเฉง พวงมาลัยคมขึ้น แต่ยังมีความนิ่งและมั่นคง ไม่สะเทือนแม้เจอหลุมบ่อและลอนคลื่นหรือลูกระนาดบนถนน แต่ใน Race Mode จะรู้สึกเร็วอย่างกับจะบินได้ต้องตั้งสมาธิในการขับมากๆ และจะมีความเปราะบางทางความรู้สึกมากไปหน่อย คือเจออะไรนิดอะไรหน่อยก็รู้สึกมันไปซะหมด แม้กระทั่งก้อนกรวดก้อนเล็กๆ ก็ส่งความรู้สึกให้สัมผัสได้ จนบางทีรู้สึกมันไม่นิ่ง โดยสรุปก็คือ Sport Mode ให้ค่าสมรรถนะที่เหมาะสมที่สุดวิ่งได้ทั้งในถนนสาธารณะและสนามแข่ง Normal Mode ให้ความรู้สึกนั่งสบายเหมาะสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วน Race Mode ถ้าถนนไม่เรียบจริงไม่ได้อยู่ในสนามแข่งอย่าใช้ถ้ามือไม่ถึง

บั้นท้ายมาจาก 12C

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

Lamborghini Huracan ราคาในไทย สเป็ค และรีวิว

Lamborghini Huracan LP610-4
เมื่อเดือนที่แล้วบริษัทนิชคาร์ตัวแทนจำหน่าย Lamborghini อย่างเป็นทางการในไทยเราได้เปิดตัว Lamborghini Huracan LP610-4 ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 25 ล้านบาท รถคันนี้เป็นรุ่นที่สืบทอดต่อจาก Lamborghini Gallardo ที่ได้ยุติสายพานการผลิตไปก่อนหน้านี้ ซึ่งหลายคนคาดหวังว่า Lamborghini Huracan จะทำผลงานได้ดีกว่า เมื่อต้องเจอกับ Ferrari F458 Italia, Mclaren MP4-12C หรือกระทั่ง 650S และสุดท้าย Porsche 911 Turbo S ก็ต้องมาดูตัวเลขสมรรถนะกันก่อนว่าจะเด็ดขนาดไหนแล้ว Feedback จากผู้ทดสอบเป็นอย่างไรกันบ้าง

Lamborghini Huracan LP610-4 ใช้เครื่องยนต์ V10 สูบ 40 วาล์ว ไม่มีระบบช่วยอัดอากาศ ความจุกระบอกสูบ 5,204 C.C. อัตราส่วนกำลังอัด 12.7:1 ให้กำลังสูงสุด 610 แรงม้า ที่ 8,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 560 นิวตัน-เมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนสี่ล้อผ่านเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 สปีด พร้อมโหมดเปลี่ยนเกียร์แบบ Manual รถคันนี้น้ำหนักรถเปล่าที่ถ่ายของเหลวออกหมดอยู่ที่ 1,422 กิโลกรัม เท่ากับอัตราส่วนน้ำหนักต่อพละกำลัง เท่ากับ 2.33 กิโลกรัมต่อแรงม้าระบุโดย Lamborghini เอง แต่แท้ที่จริงแล้วรวมของเหลวด้วยรถจะมีน้ำหนัก 1,553 กิโลกรัม ทำให้อัตราส่วนกำลังต่อแรงม้าเปลี่ยนเป็น 2.55 กิโลกรัมต่อแรงม้า รับภาระเพิ่มขึ้น 0.22 กิโลกรัมต่อแรงม้า พละกำลังทั้งหมดนี้ส่งให้รถทำสมรรถนะอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.2 วินาที และทำความเร็วจาก 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ภายใน 9.9 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันโดยเฉลี่ยเท่ากับ 8 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 290 กรัมต่อกิโลเมตร ถือว่าประหยัดและสะอาดดีสำหรับเครื่องยนต์พิกัดขนาดนี้ มิติตัวถังรถ ฐานล้อยาว 2,620 มิลลิเมตร ความยาวตัวรถ 4,459 มิลลิเมตร กว้าง 1,924 มิลลิเมตร (ไม่นับกระจกมองข้าง) 2,236 มิลลิเมตร (รวมกระจกมองข้าง) ความสูงทั้งหมด 1,165 มิลลิเมตร ระยะห่างล้อคู่หน้า 1,668 มิลลิเมตร ระยะห่างล้อคู่หลัง 1,620 มิลลิเมตร ระยะเบรกจากความเร็ว 112.65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไปสู่ 0 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใช้ระยะสั้นที่สุด 144 ฟุตหรือ 44.64 เมตร ระยะยาวที่สุด 150 ฟุตหรือ 46.5 เมตร มีอาการ Understeer (หน้าดื้อโค้ง) อยู่ในระดับปานกลาง รัศมีวงเลี้ยว 37.7 ฟุตหรือ 11.68 เมตร

ด้านการขับทดสอบของนักทดสอบนั้น (ทดสอบโดย Car And Driver)ให้ความเห็นว่ามันเป็นรถที่เปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ (เกียร์ทำงานคล้าย S Tronic ใน Audi R8) สมองกลจะคำนวณล่วงหน้าถึงเวลาที่เหมาะในการเปลี่ยนเกียร์ ก่อนคุณจะชิฟท์มันก็พร้อมขึ้นเกียร์ให้คุณแล้ว และ Huracan คันนี้มี DNA ที่แตกต่างจาก Lamborghini ทุกรุ่นที่แรงอย่างกับจะพุ่งไปดวงจันทร์เฉพาะทางตรง แต่เวลาเข้าโค้งนั้นชักช้าอืดอาดมากกว่ารถสปอร์ตในระดับเดียวกัน แต่กับ Huracan คันนี้ไม่เหมือนกันมันเร็วแรงทั้งทางตรง และคล่องตัวเมื่อเข้าโค้ง ความรู้สึกจะบอกคุณว่ามันเร็วได้ทุกเวลาไม่ว่าจะทางโค้งหรือทางตรง ทุกครั้งที่กดคันเร่งมันก็พร้อมสนองตอบโดยทันที อาการรอรอบไม่มีให้เห็นเป็นรถไร้เทอร์โบช่วยอัดอากาศ ที่ตอบสนองการกดคันเร่งได้ไม่แพ้เครื่องยนต์ที่มีเทอร์โบ เพราะ ลูกสูบทั้ง 10 สูบนั้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนักทดสอบก็ได้สรุปว่ารถคันนี้สมรรถนะดีเกือบจะเท่ากับ Lamborghini Aventador โดยความรู้สึกในการขับขี่ไม่แตกต่างกันมากนัก (ตื่นตัวพร้อมพุ่งได้ทุกเวลาไม่ว่าจะทางตรงหรือเข้าโค้งก็รู้สึกว่าเร็วนรก จนบางทีคนที่ไม่ชอบอารมณ์แบบรถซิ่งแอบเครียด หันไปเลือกพวก Grand Touring แทน) สมรรถนะมันดีจนน่ากลัวว่ากลุ่มลูกค้าที่มอง Aventador อยู่จะไปเลือก Huracan แทนทำให้เกิดการกินกันเองในตลาด เพราะ บางคนก็คิดว่าจะจ่ายแพงกว่าทำไมในเมื่อสมรรถนะมันก็ใกล้เคียงกัน จะแพ้ก็แค่เรื่องความเร็วสูงสุดที่ไม่ได้ใช้กันบ่อยๆ และสปีดต้นเพียงไม่กี่เศษเสี้ยววินาที แต่ขับจริงๆ ให้ความรู้สึกไม่แตกต่างกันเลย กับไม่มีประตูปีกนกให้ก็แค่นั้นเอง แต่จ่ายราคาถูกกว่าตั้ง 11.5 ล้านบาท แถมยังประหยัดน้ำมันมากกว่า ปล่อยมลภาวะน้อยกว่า แบบนี้มันก็น่าคิดอยู่นะ

ข้อมูล Test Drive Lamborghini Huracan

บั้นท้ายผสมผสานเหลี่ยมสันและความโค้งมนได้อย่างลงตัว

Lamborghini Aventador บ้าระห่ำสมคำร่ำลือ

Lamborghini Aventador LP700-4
กระทิงดุราคา 36.5 ล้านบาทคันนี้ เป็นรุ่นสืบต่อของ Lamborghini Murcielago ที่ยุติสายพานการผลิตไป แน่นอนว่าคลื่นลูกใหม่ย่อมแรงกว่าคลื่นลูกเก่า Lamborghini Aventador แรงกว่า และยอดเยี่ยมกว่า Murcielago อย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้บางคนยังให้มันแพ้ Ferrari F12 Berlinetta ในภาพรวมแต่ในด้านความเร็วถือว่าสูสี ด้านความเป็นรถสปอร์ต Aventador ดูจะมีมากกว่า F12 ที่ดูเป็น Grand Tourer อาจเป็นเพราะเวลาขับ Aventador แล้วรู้สึกเครียดกว่า F12 เพราะต้องมีสมาธิตื่นตัวอยู่ตลอดเวลายิ่งกว่าขับ F12 ที่ยังพอผ่อนคลายได้บ้าง (แต่ก็ต้องตื่นตัวเหมือนกัน เร็วแรงกันทั้งคู่) และด้วยมีนิตยสารรถยนต์ฉบับหนึ่งขับทดสอบแล้วผลปรากฏว่า Ferrari F12 Berlinetta วิ่งทิ้งห่าง Lamborghini Aventador ซะกระจุย ปล่อยให้เจ้ากระทิงเปลี่ยวไปวิ่งแข่งกับ Aston Martin Vanquish กัน 2 คัน ก็เลยยิ่งเสริมให้ F12 ดูเหนือกว่า ทั้งๆที่ฝีมือคนขับก็มีส่วน แต่น่าเสียดายที่เปลี่ยนคนขับแล้วผลก็ออกมาเช่นเดิม ยังดีที่ Aventador เอาชนะ Vanquish อย่างขาดลอยเช่นกัน แต่การทดสอบครั้งนั้นเน้นการขับแบบ Grand Touring ขับท่องเที่ยวไปตามทางระยะไกล ในถนนสาธารณะก็ต้องยอมรับว่าการวิ่งบนถนนสาธารณะนั้นมันแพ้ให้กับ F12 จริงๆ ถ้าเป็นการแข่งขันในสนามก็ยังไม่แน่ว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้ เพราะสภาพการจราจรอาจจะไม่เหมาะให้ Aventador ได้โชว์สมรรถนะสูงสุดก็เป็นได้ เพราะ ถ้าเจอถนนไม่เรียบมีหลุม เป็นลอนเป็นคลื่น Aventador จะได้รับผลกระทบมากกว่าทั้ง F12 และ Vanquish ถ้าเป็นสนามแข่งทางเรียบที่ Aventador ซัดได้เต็มที่ ผลงานน่าจะออกมาดีกว่านี้ เพราะการขับแบบ Grand Touring นั้น F12 เหนือกว่าทั้งความเร็วและความสบายในการขับขี่และ Vanquish ถึงแม้จะแพ้เรื่องความเร็ว ก็ยังชนะเรื่องความสบาย ดังนั้นการขับ Tour ในระยะทางไกลจึงให้ F12 ที่หนึ่ง และ Vanquish เป็นที่สอง แต่ในสนามแข่งก็เป็นอีกเรื่องเพราะในสนาม Nurburgring นั้น Aventador ก็ทำเวลาเหนือกว่า F12 อย่างไม่เห็นฝุ่นเหมือนกัน โดยนักขับคนเดียวกันคือ Horst Von Saurma ผู้ซึ่งทำเวลาให้ Mclaren MP4-12C ที่ Nurburgring เช่นเดียวกัน เวลาที่ Aventador ทำได้คือ 7 นาที 25 วินาที เร็วกว่า 12C ที่ทำได้ 7 นาที 28 วินาที และรถคันที่แพ้แม้กระทั่ง 12C ที่พิกัดเครื่องยนต์เล็กกว่าก็คือ F12 Berlinetta นี่เองที่ทำได้น่าผิดหวังมากใช้เวลาถึง 7 นาที 33 วินาที แพ้แม้กระทั่ง Porsche 911 Turbo S ที่ทำได้ 7 นาที 32 วินาที เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วคงต้องบอกว่าสำหรับการเป็นรถแข่งแล้ว F12 แพ้ Aventador กระจุย

สำหรับตัวเลขสมรรถนะและสเป็คนั้น Lamborghini Aventador LP700-4 Coupe หลังคาแข็ง มีอยู่สเป็คเดียว คือ เครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร อัตราส่วนกำลังอัด 11.8:1 ให้แรงม้าสูงสุด 700 แรงม้า ที่ 8,250 รอบต่อนาที แรงบิด 690 นิวตัน-เมตร ที่ 5,500 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนสี่ล้อด้วยเกียร์ 7 สปีด อัตราเร่งความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 2.9 วินาที นับเป็นความเร็วต้นที่บ้าระห่ำมาก ความเร็วสูงสุด 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ย 6.25 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อย CO2 370 กรัมต่อกิโลเมตร น้ำหนักรถเปล่า 1,575 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 90 ลิตร พิสัยการเดินทางเมื่อเติมน้ำมันเต็มถัง 562.5 กิโลเมตร

ตัวเลขสมรรถนะนั้นสุดยอดอยู่แล้ว และมีบุคลิกการขับขี่ที่ดิบกร้าว เสียงดัง พร้อมที่จะพุ่งใส่ตลอดเวลา ด้วยสไตล์การขับที่บ้าระห่ำเหมาะสำหรับคนเท้าหนักที่ชอบขับเร็วนี่เอง ทำให้รถคันนี้ได้ใจกลุ่มผู้ขับที่มีจิตวิญญาณนักซิ่งมากกว่า F12 Berlinetta ที่จะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวไฮโซที่ขับรถออกทริปกับเพื่อนฝูงซะเป็นส่วนใหญ่

ดีไซน์ด้านหลังดูดุดันเข้ากับทุกส่วน

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

Ferrari F12 Berlinetta รถคันนี้มีประสิทธิภาพแค่ไหน?

Ferrari F12 Berlinetta
Ferrari F12 Berlinetta รถซูเปอร์คาร์ที่วางตำแหน่งตัวเองอยู่ในประเภท Grand Touring คันนี้ได้พิสูจน์ไปแล้วจากสื่อยานยนต์หลายสำนักว่าเป็นรถ GT ที่ทั้งแรง ขับเดินทางไกลได้ดี และการใช้งานในชีวิตประจำวันก็ใช้ได้ดี เรียกว่าครบเครื่องทั้งความเร็วและการใช้งาน สื่อบางสำนักยังยกให้มันเหนือกว่า Lamborghini Aventador LP700-4 เสียอีก ถ้าไม่นับ Ferrari LaFerrari แล้ว รถคันนี้ถือเป็นรถวิ่งถนนอย่างถูกกฎหมายที่เร็วที่สุดของ Ferrari และก็อาจจะเป็นที่สุดของรถยนต์กลุ่มนี้เลยก็ว่าได้ และก็อาจถึงขนาดมีสมรรถนะใกล้เคียงกับ Bugatti Veyron Super Sport รถที่เคยได้ชื่อว่าเป็น Production Car ที่มีความเร็วสูงที่สุดในโลก (431 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ถูก Hennessey Venom GT ทำลายสถิติที่ 435.31 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ตำแหน่งอย่างเป็นทางการของ Guinness Book ยังเป็น Veyron อยู่ เพราะ Venom ทำไม่ครบเงื่อนไขของการเป็น Production Car คือ ต้องทดสอบการวิ่งสองครั้ง และผลิตขายอย่างต่ำ 30 คัน แต่ Venom ได้รับอนุญาตจาก NASA ให้ใช้สนามทดสอบได้เพียงครั้งเดียว และ Venom ผลิตขายเพียง 29 คัน) ซึ่งในเรื่องความเร็วสูงสุด F12 อาจจะสู้ไม่ได้แต่ถ้าเป็นการทำเวลาใน Circuit แล้วต้องบอกว่าใกล้เคียงกันมาก โดยการทดสอบของ Autocar ที่สนามแห้ง F12 ทำได้ 1 นาที 8.6 วินาที ส่วน Veyron ทำได้ 1 นาที 8.5 วินาที แต่สนามเปียก Ferrari F12 Berlinetta ไม่ค่อยเน้นเท่าไหร่จึงทำได้ที่ 1 นาที 22.9 วินาที ส่วน Bugatti Veyron ทำได้ 1 นาที 11.6 วินาที ถือว่าทำได้เยี่ยมเพราะ F12 มีพิกัดเครื่องยนต์เล็กกว่ายังทำเวลาในสนามแห้งได้เกือบจะเท่ากัน

ตัวเลขสเป็คและสมรรถนะ Ferrari F12 Berlinetta ใช้เครื่องยนต์ V12 วางหน้า ไร้ระบบช่วยอัดอากาศพิกัด 6.3 ลิตร อัตราส่วนกำลังอัด 13.5:1 ให้แรงม้าสูงสุด 730 แรงม้าที่ 8,250 รอบต่อนาที แรงบิด 690 นิวตัน-เมตร ที่ 6,000 รอบต่อนาที อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 3.1 วินาที 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ใน 8.5 วินาที ความเร็วสูงสุดมากกว่า 340 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งคาดกันว่าน่าจะทำได้ราวๆ 362 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ย 6.67 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 350 กรัมต่อกิโลเมตร ความจุถังน้ำมัน 92 ลิตร ทำให้รู้ว่าพิสัยการเดินทางอยู่ที่ 613.64 กิโลเมตร เมื่อเติมน้ำมันเต็มถัง น้ำหนักรถเปล่าอยู่ที่ 1,630 กิโลกรัม กระจายน้ำหนัก หน้า 46% หลัง 54% มิติตัวถังยาว 4,618 มิลลิเมตร กว้าง 1,942 มิลลิเมตร สูง 1,273 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,720 มิลลิเมตร ถือว่าใหญ่พอสมควรความกว้างนี่เทียบได้กับ SUV เลย

ได้เห็นตัวเลขสมรรถนะแล้วถือว่าสุดยอดจริงๆ กับรถคันนี้ ซึ่งนักวิจารณ์ก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าสุดยอดทั้งอัตราเร่ง ช่วงล่างและการควบคุม ข้อเสียอย่างเดียวของมันคือพวงมาลัยเร็วเกินไป ก็ขอสรุปเลยแล้วกันว่ารถคันนี้ คะแนนเต็ม 10 ได้ 10 คะแนนเต็ม ใครสนใจก็สอบถามตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยได้ ราคาประมาณ 37 ล้านบาท อาจมากหรือน้อยกว่านั้นนิดหน่อยขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ส่งผลต่อการนำเข้า

ดูมุมไหนก็สวย

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557

รีวิวรถมือสอง Toyota Soluna Vios ปี 2002-2007 โฉมแรก

Vios Gen.1 (2005) NCP42 เครื่อง 1NZ-FE
ตลาดรถยนต์นี่ก็แปลกอยู่อย่าง รถบางรุ่นบางยี่ห้อตอนขายใหม่ๆเป็นรถป้ายแดงนี่ดูเหมือนกับว่าไม่ค่อยมีคนสนใจ ด้วยว่าเห็นมันวิ่งอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง แต่พอนานๆ ไปเริ่มเห็นคนขับน้อยลงทุกที กลายเป็นรถมือสอง ก็เริ่มมีคนมาสนใจแถมยังถามซื้อและให้ราคาดีซะด้วย ยิ่งรถที่เลิกผลิตไปแล้วนี่เต็นท์รถบางเจ้าถึงกับหยิบมาเป็นจุดขายว่ารถคันนี้รุ่นนี้มัน Rare นะเฟ้ย อย่าง Toyota Wish ที่ผลิตออกมา Gen เดียวก็เลิกผลิตไปเลยนี่บางคนก็ตามหากันให้วุ่นวาย บางคนถึงกับซื้อมาเก็งกำไรขายได้กำไรหลักหมื่นเกือบแสนเลยก็มี (เคยได้ยินว่ามีคนขายได้กำไร 70,000 บาท) แล้วมันจะเกิดขึ้นกับรถยี่ห้ออื่นอย่าง Lancer EX บ้างรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ในวันนี้รถที่จะมานำเสนอจะว่าหายากไม๊ ก็ไม่ยาก แต่เป็นรถที่ใช้การได้ดี ไม่มีอะไรจุกจิกกวนใจมาก อะไหล่ก็หาง่ายและราคาถูก อย่าง Toyota Soluna Vios เจเนอเรชั่นที่ 1

รถคันนี้เริ่มผลิตในประเทศไทยในปี 2002 ถึงปี 2007 โดยมี codename ย่อๆว่า NCP42 หลักๆที่วางขายในประเทศไทยก็จะใช้เครื่องยนต์ 1NZ-FE ขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้พละกำลังสูงสุด 109 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบต่อนาที มีระบบส่งกำลังให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และ เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ขับเคลื่อนสองล้อหน้า โดยช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ แม็กเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง ช็อกแอ็บซอร์บเบอร์ ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีม คอยล์สปริง ช็อกแอบซอร์บเบอร์ เมื่อใช้วิ่งทางไกลถนนต่างจังหวัดจะกินน้ำมันประมาณ 14 กิโลเมตรต่อลิตร ถ้าวิ่งในเมืองจะกินประมาณ 10 กิโลเมตรต่อลิตร หรือ แล้วแต่สภาพการจราจรว่าแออัดขนาดไหน ซึ่งตัวเลขก็ไม่ได้ดูขี้ริ้วขี้เหร่อะไรเพราะมันก็อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยรถบ้านทั่วไปที่ทำตัวเลขได้ประมาณนี้ แต่ที่ขับในเมืองแล้วเปลืองก็เพราะรถคันนี้เวลาขับต้องใช้รอบสูงอัตราเร่งถึงจะมาแบบพรวดๆ เรียกว่าถ้าลากรอบยาวๆ นี่จะขับสนุกมากบางคนเลยเผลอใจไปกับมัน กดซะเต็มเหนี่ยวมันก็ได้อัตราประหยัดน้ำมันที่ไม่ประหยัดอย่างที่เห็น ซึ่งถ้าขับไปแบบเรื่อยๆ ถึงจะเป็นในเมืองก็ไม่น่าจะทำได้แย่กว่า 12 กิโลเมตรต่อลิตร แต่ต้องขอบอกเลยว่ารถคันนี้อัตราเร่งขับแล้วยังรู้สึกว่าสนุกกว่ารถซีดาน 1.4-1.6 ลิตร บางรุ่น บางยี่ห้อ ที่วางขายในปี 2014 นี้ซะอีก ถึงจะดูแรงม้าแรงบิดแล้วไม่เท่าไหร่แต่ขับจริงๆแล้วโอเคเลย เพราะ มันรู้สึกถึงความเบาและความคล่องตัว แต่ก็มีข้อเสียคือช่วงล่างและพวงมาลัยรู้สึกร่อนๆ คือเวลาขับด้วยความเร็วสูงประมาณ 140 แล้วรู้สึกมันเบาโหวงเหมือนจะถลาลงข้างทางอย่างซะอย่างนั้น เบรกนี่แล้วแต่อายุการใช้งานคือถ้าใช้ใหม่ๆนี่เบรกจะหนึบจนกัวทิ่ม แต่ถ้าใช้ไปนานๆจะมีอาการเฟด เบรกไม่ค่อยอยู่ ซึ่งใครใช้กันอยู่ก็หมั่นเช็กกันเอาเองตามอายุอะไหล่ที่ระบุไว้ในคู่มือนั่นแหละ (บางคนทำคู่มือหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้) เอาจริงๆ ก็ควรขับไม่เกิน 120 ตามกฎหมายกำหนดนั่นแหละดีที่สุด เรื่องวัสดุตกแต่งภายในก็สมราคาแต่ไอ้มาตรวัดความเร็วแบบตัวเลขนี่เห็นแล้วขัดลูกกะตาจริงๆ แล้วเอาไปวางอยู่ตรงตำแหน่งคอนโซลกลางนี่จะเหลือบมองต้องทำตาเหล่ๆด้วยใช่รึเปล่าเนี่ย

สุดท้ายก็ขอสรุปว่า Vios รุ่นนี้ เป็นรถที่ใช้ง่าย บำรุงรักษาง่าย ไม่ต้องใช้ Specialist หรือช่างเฉพาะทางในการซ่อม แค่ช่างที่พอจะมีความรู้เป็นช่างที่ไว้ใจได้ มีความใส่ใจ ก็สามารถซ่อมรถคันนี้ได้ไม่ยากนัก อะไหล่มีให้เลือกเยอะแยะทั้งของเก่าของใหม่ หรือของแต่งซิ่งก็มีให้เลือกอย่างจุใจ ร้านอะไหล่มีอยู่ทุกหัวระแหง เป็นรถที่มีอัตราเร่งขับสนุกเมื่อเทียบกับพิกัดเครื่องยนต์เดียวกัน ด้านช่วงล่างแม้ไม่ถึงกับดีแต่ขับไม่เกิน 120 ก็ไม่มีปัญหาอะไร ด้านความประหยัดก็อยู่ตามเกณฑ์เฉลี่ยรถบ้านทั่วไป ขอให้คำนิยามสั้นๆ กับรถคันนี้ว่า "เป็นรถที่ใช้ไปแบบไม่ต้องคิดอะไรให้มาก เหลือเวลาไปทำมาหากินได้สบาย" อ้อเกือบลืมบอกไป ราคา ถ้าเป็นรุ่น 1.5J จะอยู่ที่ 143,000-239,000 บาท ถ้าเป็นรุ่น 1.5E (ABS+Airbag) จะอยู่ที่ 160,000-256,000 บาท ลงวันที่ 18 กันยายน 2557

รู้สึกขัดใจกับมาตรวัดเท่านั้น (รถปี 2005)
คู่มือซ่อมบำรุง Toyota Vios

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

รีวิว Honda Odyssey 2014

Honda Odyssey 2014
ถ้าพูดถึง Honda Odyssey แล้วมันก็คือ Minivan เพื่อครอบครัวที่ราคาสูง (2,950,000 บาท) อาจจะถือได้ว่าเป็นรถระดับหรูได้ในเมืองไทยเรา และก็อาจจะนำไปเปรียบเทียบ กับ Toyota Alphard ที่ราคาแพงกว่าพอสมควร, Toyota Vellfire ที่ราคาใกล้เคียงกัน และ Toyota Ventury ที่ราคาถูกกว่าแต่หน้าตาจะออกไปทาง Commuter เจ้า Honda Odyssey นั้นทำตลาดมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1994 นับจนถึงปัจจุบันก็เป็นเวลา 20 ปีแล้ว Honda Odyssey ทำตลาดมาทั้งหมด 5 Generations โดยรุ่นปัจจุบัน ปี 2014 เป็นเจเนอเรชั่นที่ 5 โดยมีรหัสโมเดลคือ RC1-RC2 โดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว 2.4 ลิตร i-Vtec ให้แรงม้าสูงสุด 175 แรงม้าที่ 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 225 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า ระบบเบรกเป็นดิสก์เบรคทั้ง 4 ล้อโดยระบบช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ อิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีม ใช้ล้ออัลลอย 17 นิ้ว มีมิติตัวถัง กว้าง 1,820 มิลลิเมตร ยาว 4,830 มิลลิเมตร สูง 1,695 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,900 มิลลิเมตร ความสูงจากใต้ท้องรถ 150 มิลลิเมตร น้ำหนักรถเปล่า 1,860 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 55 ลิตร อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงทดสอบโดย JCOB สถาบันมาตรฐานของญี่ปุ่น อยู่ที่ 14 กิโลเมตรต่อลิตร ทำให้รู้ว่าเมื่อเติมน้ำมันเต็มถังแล้วมีพิสัยการเดินทางที่ 770 กิโลเมตร

Honda Odyssey ในรุ่นท็อป 2.4 EL จัดอ็อปชั่นอำนวยความสะดวกมาให้พร้อมสรรพทั้ง บานประตูสามารถเปิดอัตโนมัติและมีรีโหมดควบคุม มีซันรูฟ เบาะที่นั่งแถวสองสามารถปรับเอนนอนได้จนราบ เรียกว่าเดินทางไกลเหนื่อยๆนี่ นอนในรถเหมือนบ้านได้เลย ตำแหน่งนั่งในการขับของผู้ขับขี่ออกแบบมาอย่างดีทำให้เห็นทัศนะวิสัยได้ชัดเจน และรถก็ดูโปร่งทำให้รู้สึกกว้างขวาง ไม่อึดอัด

ด้านสมรรถนะเครื่องยนต์นั้นอัตราเร่งและความเร็วมันก็ไม่ได้ต่างกับรถตู้บ้านๆ ทั่วไป เพราะ จุดประสงค์ที่ทำรถคันนี้ขึ้นมาเน้นขับสบาย เดินทางไกลได้โดยไม่รู้สึกปวดเมื่อยมากนั้นเท่ากับนั่งรถเก๋งซีดาน แต่ถ้าจะเรียกใช้อัตราเร่ง มันก็สามารถเร่งแซงรถบ้านทั่วไปได้ไม่มีปัญหาเร่งไป 140-160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ไม่รู้สึกลำบากอะไร แต่ไม่ควรจะซัดยาวแบบนี้ไปตลอดเพราะถ้าใช้ความเร็วระดับนี้นานๆ รู้สึกว่ากำลังมันจะถดถอย คือซัดแบบนี้ไประยะทางไกลซัก 100 กิโลเมตร แล้วก็จะรู้สึกว่าถ้าจะเร่งให้ถึง 140 อีกมันจะใช้เวลานานกว่าเดิม แต่ถ้าขับไปเรื่อยๆ ไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ไม่มีปัญหาอะไร หากต้องการใช้อัตราเร่งแบบทันทีในการขับแซงรถพ่วงที่วิ่งด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง Honda Odyssey ก็สามารถเร่งความเร็วจากระดับนั้นไปถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ไม่ยากนัก อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และความเร็วสูงสุด สำหรับ Honda Odyssey รุ่นนี้ไม่สามารถระบุได้เพราะไม่มีโอกาสได้ทดสอบอัตราเร่งและความเร็วสูงสุดแบบเต็มแม็กซ์ แต่มีสื่อมวลชนท่านหนึ่งทดสอบ ได้ตัวเลขอัตราเร่งจาก 0-100 ภายใน 10.84 วินาที ความเร็วสูงสุดทำได้ 205 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็นับว่าเพียงพอแล้วต่อการขับในชีวิตประจำวันซึ่งเอาจริงๆ ก็ไม่ได้ใช้ความเร็วถึงขนาดนั้นทุกวันอยู่แล้ว ที่น่าชื่นชมคือการส่งกำลังของเกียร์เป็นไปอย่างราบรื่นนิ่มนวลไม่กระชากกระชั้น อัตราเร่งจะเพิ่มขึ้นแบบเรื่อยๆ ไม่มีสะดุด แต่ถ้าถามว่าขับสนุกรึเปล่านักวิจารณ์หลายๆ ท่านอาจจะบอกว่าขับสนุก แต่ความเห็นส่วนตัวของผมเองมันก็ไม่ได้รู้สึกสนุกอะไรมากมาย และก็ไม่คิดที่จะสนุกกับมันด้วย ก็อย่างว่าถ้าต้องการรถขับสนุกก็ไปซื้อพวก EVO, Supra, Impreza, RX7 พวกรถสปอร์ตพวกนั้นดีกว่า สำหรับคันนี้ใช้เดินทางชิลๆ เป็นครอบครัวเท่านั้น คงไม่โง่ขนาดเอา Odyssey ไปขับแบบเกรียนๆ แข่งกับชาวบ้านให้เสียของ

ด้านการควบคุม การทรงตัว ช่วงล่าง ถือว่าทำออกมาได้ดีเกินมาตรฐานรถตู้อยู่พอตัวโดยช่วงล่างมีความรู้สึกละม้ายคล้ายคลึงกับการขับ Honda Accord แต่เป็น Accord ที่ไซส์ใหญ่ขึ้นมาจึงมีอาการน่าหวาดเสียวมากกว่าเวลาขับด้วยความเร็วสูง แต่ในระดับที่จะทำให้ Honda Odyssey เสียการทรงตัวนั้นมันอยู่ในระดับที่ห่างไกลจากรถตู้ราคา ล้านกว่าๆ อย่าง Toyota Commuter, Nissan Urvan มากนัก เผลอๆ จะดีกว่า Honda Civic ด้วยซ้ำ แต่รู้สึกว่าพวงมาลัยมันเบาไป คงเป็นเพราะผู้ผลิตต้องการให้รถขับได้อย่างคล่องตัวในเมือง ด้วยมิติตัวรถซึ่งก็ถือว่าใหญ่พอสมควรหากเซ็ตพวงมาลัยหนักอีกก็จะลำบากเวลาเข้าจอดในห้างสรรพสินค้า หรือซอกแซกตามพื้นที่แคบๆ แต่ถึงแม้พวงมาลัยจะเบาแต่มันก็รู้สึกนิ่งดีทีเดียวถ้าจับสองมือแบบตั้งใจขับก็จะไม่เป็นปัญหาอะไร

สรุปก็คือ เครื่องยนต์ ช่วงล่าง สมรรถนะดี ออปชั่นก็จัดมาอย่างเหมาะสม ถ้าให้ซื้อในราคา 2,950,000 บาท ก็ถือว่าไม่แพงเกินไปกับอรรถะประโยชน์ที่ได้จากรถคันนี้ และด้วยราคานี้หากเปรียบเทียบกับ Toyota Alphard (รุ่น 2.4V ราคา 3,339,000 บาท) ผมจะเลือก Honda Odyssey โดยไม่ลังเลใจเลย แต่ถ้าราคาเท่ากันขอเลือก Toyota Alphard ก็แล้วกัน

ด้านข้างและบั้นท้าย

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

BMW i8: Roadcar 3 สูบ 1.5 ลิตร ที่แรงที่สุดในโลก?


BMW i8
BMW i8 รถสปอร์ตอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของค่ายใบพัดฟ้าขาวได้ออกมาอวดโฉมให้ชาวโลกได้เห็นมาเป็นระยะหนึ่งแล้ว และตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของไทยเราก็นำเข้ามาด้วย โดยตั้งราคาขายไว้ที่ 11,899,000 บาท BMW i8 นับเป็นรถ Plug-in Hybrid ที่มีเทคโนโลยีเครื่องยนต์กลไกล้ำยุคมากเมื่อเทียบกับรถยนต์ในพิกัดเดียวกัน แต่ในทรรศนะของนักวิเคราะห์ของสื่อต่างประเทศที่ทดสอบรถสปอร์ตมาแล้วมากมายกลับยังไม่ค่อยพอใจกับรถรุ่นนี้นัก โดยสรุปว่าสำหรับการเป็นรถสปอร์ต BMW i8 นั้นสมรรถนะแย่เกินไป และในวัตถุประสงค์ของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมันก็ยังทำได้ไม่ดีพอ แต่ก็ยังมีนักวิจารณ์บางท่านที่เห็นว่ารถสปอร์ตคันนี้เป็นอะไรที่แตกต่างออกไปซึ่งบุคลิกของมันไม่ใช่รถที่ใช้ซิ่งแข่งกัน แต่เป็นรถเพื่อขับอวดสายตาผู้คนในเมืองมากกว่า และในด้านนี้มันประสบความสำเร็จมากเสียด้วย โดยไปที่ไหนก็มีแต่คนจับจ้อง Spyshot มาให้ได้เห็นกัน ซึ่งบางทีมันอาจจะดึงดูดสายตามากกว่าซูเปอร์คาร์สมรรถนะสูงบางคันด้วยซ้ำ แต่ต้องมาดูตัวเลขสมรรถนะว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง

BMW i8 ใช้เครื่องยนต์ 3 สูบเบนซินเทอร์โบ ขับเคลื่อนพร้อมกับมอร์เตอร์ไฟฟ้า ความจุกระบอกสูบ 1.5 ลิตร เฉพาะกำลังเครื่องยนต์มี 231 แรงม้าที่ 5,800 รอบต่อนาที แรงบิด 320 นิวตัน-เมตร ที่ 3,700 รอบต่อนาที สำหรับมอเตอร์ไฟฟ้ามีกำลัง 131 แรงม้า และแรงบิด 250 นิวตัน-เมตร รวมกำลังทั้งระบบได้ 362 แรงม้า แรงบิด 570 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ลงสู่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยล้อคู่หน้าขับเคลื่อนด้วยมอร์เตอร์ไฟฟ้า รถคันนี้ทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 4.4 วินาที และความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวรถมีน้ำหนัก 1,559 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 42 ลิตร ความจุห้องสัมภาระ 154 ลิตร โดยโรงงานระบุสเป็คอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงไว้ที่ 47.6 กิโลเมตรต่อลิตร อัตรา CO2 49 กรัมต่อกิโลเมตร แต่พอทดสอบโดยนิตยสารรถยนต์กลับพบว่าอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 17.9 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 153 กรัมต่อกิโลเมตร โดยใช้ระบบขับขี่แบบประหยัดแล้วก็ยังทำได้ดีที่สุดแค่ 22.22 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งต่างจากค่าที่ระบุโดยโรงงานอย่างลิบลับ ถึงแม้ตัวเลขนี้จะประหยัดแล้วก็ตาม (พอๆกับตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ระบุในรถ Mitsubishi Attrage 22 กิโลเมตรต่อลิตร) แม้มันจะประหยัดพอๆ กับอีโค่คาร์แต่กับรถที่ต้องใช้เงินเกือบ 12 ล้านบาทในการเป็นเจ้าของมันก็ควรจะทำให้ได้ตามสเป็คที่ระบุจากโรงงาน แต่จะบอกว่าสมรรถนะอัตราเร่ง ความเร็วสูงสุด มันดีเกินพิกัดเครื่องยนต์อันนี้มันก็ถูก และจากการทดสอบอัตราเร่งจาก 0-100 มันดีกว่าสเป็คที่ระบุจากโรงงาน 4.4 วินาที เร็วขึ้นที่ 4.2 วินาทีอีกด้วย โดยการใช้ Launch Control และอัตราเร่งแซงในความเร็วปลายทำได้โหดดีเหมือนกันที่เร่งความเร็วจาก 180-250 ได้ใน 17.3 วินาที โดยสมรรถนะดีดี เหล่านี้จะทำได้เมื่อแบตเตอรี่ชาร์จไฟเต็มและมีกำลังเพียงพอ หากแบตอ่อนสมรรถนะก็อ่อนตาม และการส่งกำลังไม่ต่อเนื่องนี่เองที่เหล่านักวิจารณ์ต่างพากันตั้งแง่กับรถคันนี้ แต่ผมก็ยังไม่เห็นด้วยซะทั้งหมด เพราะ ในโลกนี้ไม่มีใครหรอกที่ต้องขับแบบตะบี้ตะบันให้เต็มสมรรถนะไปตลอดทางและรถราคาแพงขนาดนี้ควรขับแบบทะนุถนอมมากกว่า เพราะถ้าอะไหล่ชิ้นสำคัญเกิดพังขึ้นมาค่าซ่อมนั้นแพงบรรลัยแน่ ซึ่งมามองกันตรงนี้ผมชักจะเห็นด้วยกับท่านที่บอกว่า BMW i8 เหมาะที่จะใช้ขับชิลๆ อวดโฉมที่งดงามล้ำยุคของมันในเมืองมากกว่าซะแล้วสิ

BMW i8 ในงานเจนีวา