วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

Mclaren 650S ราคา สเป็ค รีวิว

Mclaren 650S
Mclaren 650S แม้ภายนอกจะดูเหมือนเป็นการไมเนอร์เชนจ์เอากระจังหน้า Hybrid Supercar อย่าง Mclaren P1 มารวมกับบั้นท้ายของ Mclaren MP4-12C แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่แค่การเฟสลิฟท์เพียงเล็กน้อยเลยเพราะสมรรถนะภายในนั้นได้พัฒนาไปมากนักทดสอบรถยนต์ถึงกับเอ่ยปากว่าว่าถ้าได้ขับแล้วแทบจะลืม 12C ไปได้เลย ด้วยรถที่วางตำแหน่งตัวเองไว้ระหว่างกลาง P1 กับ 12C ราคาของมันเมื่อนำเข้ามาในไทยจึงอยู่ที่ 26 ล้านบาทไทย นำเข้าโดยนิชคาร์ นับว่าเป็นราคาที่ถูกมากเมื่อเทียบกับราคาขายที่ต่างประเทศ 195,000 ปอนด์ บวกภาษีสุดโหดของไทยยังสามารถวางขายได้ในราคานี้ซึ่งเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับ Ferrari F458 Italia 25.5 ล้าน และ Porsche 911 Turbo S 26.05 ล้าน ทั้งๆที่ราคาในต่างประเทศค่อนข้างต่างกันชัดเจน Ferrari 169,545 ปอนด์ Porsche 140,000 ปอนด์ (สังเกตราคาที่ต่างประเทศ ราคา Porsche ถูกกว่าตั้ง 55,000 ปอนด์ คิดเป็นเงินบาทก็ 2 ล้านปลายๆ แล้ว นี่ยังไม่นับรวมอัตราภาษีอีก เอาจริงๆ Porsche มันควรจะถูกกว่ามากๆ แต่พอนำเข้ามาในประเทศไทยจริงๆกลับแพงกว่า 650S 50,000 บาท ซะงั้น จะเป็นเพราะอะไรช่างมันเหอะถ้าคิดว่าแพงก็ไม่ซื้อซะก็แค่นั้น ไม่มีใครเอาปืนจ่อหัวบังคับซื้อซะหน่อย ถ้าเลือกซื้อรถเพราะสมรรถนะล่ะก็ 650S ดูจะน่าคบและราคาคุ้มค่ามากกว่า) ตอนแรกก่อนที่มันจะเข้ามาคิดว่า 650S จะขายที่ราคา 30 ล้านบาทซะอีก ซึ่งก็ดีแล้วที่คิดผิด จะได้เพิ่มโอกาสครอบครองมันมากขึ้น (เก็บตังค์อีกกี่ชาติวะเนี่ย) นอกจากราคาจะถูกกว่าที่คิดแล้วตัวเลขสมรรถนะยังสุดยอดเอามากๆ เอาล่ะมาดูรายละเอียดกันเลย

Mclaren 650S ใช้เครื่องยนต์ร่วมกับ 12C รหัส M838T V8 สูบ 32 วาล์ว ความจุ 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบ อัตราส่วนกำลังอัด 8.7:1 ที่อัพเกรดพละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 650 แรงม้าที่ 7,250 รอบต่อนาที (แรงม้าสูงสุดมาที่รอบต่ำกว่า Lamborghini Huracan ถึง 1,000 รอบต่อนาที) แรงบิด 678 นิวตัน-เมตร ที่ 6,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง น้ำหนักรถ 1,428 กิโลกรัม กระจายน้ำหนักด้านหน้า 42.5% ด้านหลัง 57.5% ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.0 วินาที 0-161 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ 5.7 วินาที 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 8.4 วินาที ทำความเร็วจากจุดหยุดนิ่งถึงควอเตอร์ไมล์ได้ 10.5 วินาทีที่ความเร็ว 224 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร่งความเร็วไประยะทาง 1 กิโลเมตร ได้ภายใน 18.9 วินาทีที่ความเร็ว 281 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วสูงสุด 333 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันโดยเฉลี่ย 11.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือคิดเป็นอัตราการประหยัดน้ำมัน 8.547 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อย CO2 275 กรัมต่อกิโลเมตร ความจุถังน้ำมัน 72 ลิตร ทำให้มีพิสัยการเดินทางที่น้ำมันเต็มถัง 615.384 กิโลเมตร ระยะเบรกของรถคันนี้จาก 100-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใช้ระยะ 30.5 เมตรหรือ 100 ฟุต จาก 200-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใช้ระยะ 123 เมตรหรือ 404 ฟุต รัศมีวงเลี้ยว 12.3 เมตร

ตัวเลขสมรรถนะต่างๆดูดีมากๆ แล้วนักขับทดสอบก็มีความเห็นว่า Mclaren 650S มีการสื่อสารระหว่างล้อทั้งสี่ล้อกับพวงมาลัยอย่างชัดเจนมันจะสามารถควบคุมรถได้อย่างละเอียดและมั่นใจกว่าเมื่อปิดระบบ Stability Control (แสดงว่าปิดแล้วจะรู้สึกถึงทิศทางการเลี้ยวของล้อได้ดีกว่า) เมื่อมันเกิดสุดลิมิตแล้วมันจะส่งความรู้สึกมาให้รับรู้ทำให้คุณตัดสินใจได้ถูกว่าจะทำยังไงต่อไป การสื่อสารระหว่างรถกับคนขับนั้นทำได้ดีและละเอียดมาก ไม่เหมือนรถหลายๆคันที่ขับไปจับอาการอะไรไม่ได้เลยสุดท้ายขับหลุดโค้งตกข้างทาง 650S สามารถใช้ขับได้ดีในชีวิตประจำวันโดยใช้ Normal Mode และ Sport Mode และมันก็รู้สึกนั่งสบายเมื่อต้องขับทางไกลโดย Normal Mode จะรู้สึกเหมือนขับรถหรูเกียร์ออโต้อย่าง Bentley และ Rolls-Royce ส่วนใน Sport Mode จะรู้สึกกระฉับกระเฉง พวงมาลัยคมขึ้น แต่ยังมีความนิ่งและมั่นคง ไม่สะเทือนแม้เจอหลุมบ่อและลอนคลื่นหรือลูกระนาดบนถนน แต่ใน Race Mode จะรู้สึกเร็วอย่างกับจะบินได้ต้องตั้งสมาธิในการขับมากๆ และจะมีความเปราะบางทางความรู้สึกมากไปหน่อย คือเจออะไรนิดอะไรหน่อยก็รู้สึกมันไปซะหมด แม้กระทั่งก้อนกรวดก้อนเล็กๆ ก็ส่งความรู้สึกให้สัมผัสได้ จนบางทีรู้สึกมันไม่นิ่ง โดยสรุปก็คือ Sport Mode ให้ค่าสมรรถนะที่เหมาะสมที่สุดวิ่งได้ทั้งในถนนสาธารณะและสนามแข่ง Normal Mode ให้ความรู้สึกนั่งสบายเหมาะสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วน Race Mode ถ้าถนนไม่เรียบจริงไม่ได้อยู่ในสนามแข่งอย่าใช้ถ้ามือไม่ถึง

บั้นท้ายมาจาก 12C

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น