วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การดูแลรักษารถยนต์อย่างง่ายๆ ด้วยตัวท่านเอง

ทุกวันนี้ต้นทุนค่าครองชีพที่สูงขึ้นอาจจะสร้างปัญหาให้หลายๆ ครัวเรือนมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย และก่อให้เกิดปัญหาหนี้สินขึ้น หลายครั้งที่ได้พบเจอชาวบ้านตาดำๆ ที่ไม่มีอันจะกินแล้ว ใจก็อยากจะช่วยแต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไงเพราะขนาดตัวเองก็ยังแทบจะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน แต่สำหรับคนที่พอมีจะกินอยู่บ้าง มีรถยนต์ใช้ และต้องใช้รถคันนั้นไปนานๆ ผมมีวิธีดูแลรักษารถยนต์ให้ใช้ไปนานๆ มาแนะนำ เพราะว่าในตอนนี้ไม่รู้จะรีวิวรถอะไรดี ตอนแรกกะจะรีวิว Isuzu D-Max แต่มันก็เลยจุดที่จะนำมารีวิวได้แล้ว เพราะรถรุ่นนี้คนส่วนใหญ่ก็รู้ไส้รู้พุงมันดีอยู่แล้ว จะแนะนำการใช้งานและการบำรุงรักษา Isuzu D-Max แต่พอหาข้อมูลใน Google แล้วเจอแต่คอมเม้นกากๆ เกรียนๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ หาสาระที่จะมานำเสนอไม่ได้เลย จะรีวิวรถหรู รถแรงก็รู้สึกว่าบ่อยเกินจนผมรู้สึกเอียนแล้วและคนอ่านก็อาจจะรู้สึกแบบนั้นเช่นเดียวกัน เพราะอย่างนั้นวันนี้จึงเอาเกร็ดสาระน่ารู้ในการบำรุงรักษารถยนต์แบบภาพรวมไม่เจาะจงยี่ห้อหรือรุ่นมาฝากจะดีกว่า

เอาล่ะเริ่มที่อย่างแรกที่ต้องดูแลรักษาเลยก็คือส่วนที่ส่งผลต่อการทรงตัวของรถมากที่สุดเลย ก็คือยาง ควรหมั่นตรวจเช็คลมยางอย่างสม่ำเสมอ เพราะหากล้อข้างใดข้างหนึ่งลมยางไม่สมดุลกับล้ออื่นล่ะก็ จะส่งผลให้รถส่าย เอียง แถไปด้านใดด้านหนึ่ง หรือมีอาการเบรคปัดได้ ถ้าพบว่าแรงดันลมยางไม่เท่ากันก็เติมลมซะให้เรียบร้อยตามค่าที่ระบุในคู่มือ เพื่อรักษาสภาพยางไม่ให้เสื่อมเร็วด้วย

ตรวจดูหม้อน้ำหากพบว่าปริมาณน้ำแห้งแล้วก็ควรเติมด้วยน้ำสะอาดให้เต็ม แต่สำหรับรถบางรุ่นที่มีหม้อพักและมีท่อเชื่อมต่อกับหม้อน้ำก็ไม่จำเป็นต้องไปเปิดหม้อน้ำครับ เปิดดูหม้อพักนั่นแหละถ้าน้ำแห้งก็เติมน้ำสะอาดให้น้ำอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า Min และไม่เกินระดับ Max ซึ่งรถที่ผมใช้มีบอกอยู่ แต่ถ้ารถบางรุ่นไม่มีบอก ก็เติมประมาณ 3 ใน 4 ส่วนของหม้อพักนั่นเอง การดูน้ำในหม้อน้ำนี่แหละเป็นเรื่องเล็กๆ ที่สำคัญมาก เพราะมันจะส่งผลต่อระบบระบายความร้อน ไปจนถึงอายุการใช้งานของเครื่องยนต์นั่นเลยทีเดียว บางคนมาตายน้ำตื้นเพราะหม้อน้ำแห้งจนทำให้เครื่องน็อกก็มีให้เห็นกันอยู่ประจำ

ตรวจดูรอยรั่วต่างๆ ของน้ำและน้ำมัน วิธีง่ายๆ ก็ก้มดูใต้ท้องรถนั่นแหละ หากพบว่าผิดปกติควรปรึกษาช่าง อย่าละเลยจนมันพังขึ้นมา อาจจะทำให้เสียเงินและเสียเวลามากกว่าเดิม

ตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่อง ด้วยการดึงสายวัดออกแล้วเช็ดให้สะอาดจากนั้นเสียบกลับเข้าไปใหม่ แล้วดึงออกมาดูในแนวดิ่ง คราบน้ำมันที่ติดสายวัดจะเป็นตัวบอกระดับน้ำมันเครื่อง ระดับน้ำมันเครื่องควรอยู่ระหว่างตัวอักษร L (Low) และ F (Full) เมื่อพบว่าน้ำมันเครื่องต่ำกว่าระดับ L ก็เติมซะ แต่ไม่ควรให้เกินระดับ F เพราะจะทำให้ควันจากน้ำมันเครื่องไหลเข้าสู่ห้องเผาไหม้ และจะส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์

อีกอย่างก็คือ ตรวจดูน้ำมันเบรก หากพบว่าพร่องไปก็เติมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเวลาเติมก็ระวังอย่าให้หกใส่ตัวถัง เพราะมันจะทำให้เกิดความเสียหายกับสีรถได้ แต่ถ้าทำมันหกไปแล้วอย่าเช็ดเด็ดขาด เพราะ มันจะเป็นแผลยาวขึ้นตามที่คุณเช็ดโดนนั่นแหละ ควรล้างให้น้ำมันเจือจางด้วยน้ำสะอาด

นี่แหละครับไม่ใช่เรื่องยากหรือสลับซับซ้อน ไม่ต้องใช้ความรู้ทางวิศวะกรรมอันก้าวหน้าอะไรเลย เด็กมัธยมก็ทำได้ เสียสละเวลาเพียงน้อยนิดก็อาจจะช่วยประหยัดเงินได้บ้าง ไม่ต้องไปเสียเงินกับการต้องไปซ่อมรถบ่อยๆ เพราะขาดการดูและรักษา และหลายๆ อย่างมันก็ส่งผลไปถึงความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนของตัวคุณเองและเพื่อนร่วมทางด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น