แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Nissan Navara NP300 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Nissan Navara NP300 แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เปรียบเทียบรถกระบะ All New Mitsubishi Triton VS. Nissan Navara NP-300

All New Mitsubishi Triton
Nissan Navara NP-300
ในที่สุดก็ถึงเวลาของการมาเจอกันระหว่างกระบะสุดแกร่ง Nissan Navara NP-300 กับ กระบะสุดล้ำ All New Mitsubishi Triton กันแล้ว ครั้งนี้ขอนำมาเปรียบเทียบในรุ่นท็อปสี่ประตู ขับเคลื่อนสี่ล้อ เกียร์อัตโนมัติกันก่อน เริ่มระฆังยกแรกกันเลย

เซ้นส์ในการตั้งชื่อ
ดูเหมือนว่า Nissan จะตั้งชื่อได้ฉลาดมากในครั้งนี้ คือใส่รหัส NP-300 ต่อท้ายแทนที่จะเรียกว่า All New Navara ที่ถึงแม้จะเรียกได้ง่ายและติดหูมากกว่า แต่มันจะมีปัญหาแน่ๆ ถ้า Navara รุ่นนี้มีมากกว่า 2 เจเนอเรชั่น จะเรียกว่า All New อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็กระไรอยู่ ยกแรกนี้ Navara เป็นฝ่ายขึ้นนำไปก่อน

รูปลักษณ์ภายนอก
ถึงแม้ตัวจริงออกมา Mitsubishi Triton จะออกมาสวยกว่าภาพหลุดเยอะ แต่เมื่อเทียบกับ Nissan Navara NP-300 แล้ว เรียกว่าทาง Mitsubishi ออกแบบกระจังหน้าได้เห่ยสิ้นดี ดูออกแนวเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วยังไงชอบกล ถ้าทำออกมาแบบภาพข้างล่างนี้จะไม่ว่าเลย
ภาพจาก Triton-Club.com
ถ้าออกมาอย่างในภาพจะดูทะมัดทะแมงกว่าเยอะ ในเรื่องนี้ Navara ออกแบบรูปทรงได้น่าดูน่าชมมากกว่า ถึงจะดูไม่ล้ำยุค แต่ดูแล้วหน้าตามั่นคงภูมิฐาน ดูแล้วดุดันสมบุกสมบันกว่าเยอะ สำหรับผมเองถ้าซื้อ Triton คงจะต้องหากระจังหน้ามาเปลี่ยนอย่างในภาพจะดีกว่า ยกที่สองนี้ Navara ก็ชนะไปในเรื่องรูปทรงภายนอกอย่างไม่ยากเย็น

ภายในห้องโดยสาร
ทั้ง Triton และ Navara นั่งสบายทั้งคู่นับว่าเป็นกระบะที่นั่งสบายติดอันดับต้นๆ ของตลาด Navara เน้นตกแต่งหรูหราเหมือนรถเก๋ง ในขณะที่ Triton ปรับแต่งภายในให้ดูร่วมสมัยมากขึ้น ไม่ใช่หลุดโลกแบบเมื่อก่อน การเก็บเสียงทั้งคู่ทำได้ดี การเดินทางไกล Triton นั่งแล้วจะรู้สึกปวดเมื่อยน้อยกว่า วัดดูแล้วเบาะนั่ง Triton จะใหญ่กว่า Navara นิดหน่อย วัสดุทำเบาะนุ่มแต่แน่นไม่ยุ่ยเกินไปทำให้เวลารับแรงกระแทกจากพื้นเบาะก็เป็นอีกส่วนที่ช่วยได้มาก สรุปก็คือ Triton นั่งสบายกว่า Navara แต่ในการตกแต่งนั้น Navara ดูหรูหรากว่าเล็กน้อย Triton จะมีข้อติอยู่อย่างนึงคือยกชุดพวงมาลัยมาจากรถที่ราคาถูกกว่าอย่าง Mirage และ Attrage แต่ Navara ยกชุดตกแต่งภายในมาจาก Syphy, Pulsar ซึ่งราคาแพงกว่า สิ่งนี้จึงกลายเป็นจุดด้อยของ Triton ไป และอีกอย่างก็คือ Navara มีช่องแอร์ให้กับผู้โดยสารตอนหลังแต่ Triton ไม่มี ก็เป็นอันว่า ข้อดีของ Triton ที่ออกแบบห้องโดยสารได้อย่างลงตัวใช้สอยอย่างสะดวกสบาย และทำให้มันนั่งสบายกว่า Navara กลับถูกข้อด้อยเพียงสองอย่าง แต่เป็นสองอย่างที่สำคัญมาก ทำให้ในด้านนี้ Navara สามารถพลิกแซงกลับมาชนะ Triton อย่างหวุดหวิด

สมรรถนะเครื่องยนต์อัตราเร่ง
Triton ใช้เครื่องยนต์รหัส 4N15 2,442 ซีซี แรงม้าสูงสุด 181 แรงม้าที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิด 430 นิวตัน/เมตร ที่ 2,500 รอบต่อนาที ส่วน Navara NP-300 ใช้เครื่องยนต์รหัส YD25DDTi 2,488 ซีซี ให้แรงม้าสูงสุด 190 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 450 นิวตัน/เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที มาถึงตรงนี้คงคิดว่า Navara จะแรงกว่าละสิ ลองมาดูให้ละเอียดก่อน Triton มีน้ำหนักรถ 1,860 กิโลกรัม ส่วน Navara มีน้ำหนัก 1,875 กิโลกรัม Triton เบากว่าถึง 15 กิโลกรัม และยังทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ดีกว่าที่ 10.81 วินาที ส่วน Navara ทำได้ 11.62 วินาที อัตราเร่งยืดหยุ่น 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็เป็น Triton ที่ทำได้ดีกว่าที่ 7.57 วินาที ส่วน Navara ทำได้ 7.88 วินาที ส่วนความรู้สึกในการขับขี่นั้น Triton จะมีอาการ Turbo Lag หลงเหลือมาจากรุ่นเดิมอยู่ แต่ก็นับว่าอาการลดน้อยลงมา ส่วน Navara ไม่มีอาการนี้ให้เห็น อย่างไรก็ตามจับเวลาออกมาจริงๆ ก็ต้องยอมรับว่า Triton เร็วและแรงกว่า และส่วนตัวคิดว่าเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีดของ Triton ทำงานได้ดีไม่แพ้เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดของ Navara เลย ในด้านนี้ให้ Triton ชนะไป

อัตราประหยัดน้ำมัน
Triton ทำได้ดีกว่าเล็กน้อยที่ 11.73 กิโลเมตรต่อลิตร ส่วน Navara ทำได้ 11.43 กิโลเมตรต่อลิตร ดูเหมือนจะไม่ประหยัดแต่อย่าลืมว่าพวกมันทั้งคู่คือกระบะขับสี่ที่มีน้ำหนักรวมเกือบ 2 ตันถ้ามีผู้โดยสารและสัมภาระ อัตราประหยัดน้ำมันเพียงเท่านี้ก็อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยกระบะขับสี่ทั่วๆ ไป แต่เมื่อเทียบแค่ 2 คันนี้ เป็น Triton ที่เฉือนชนะไป

ช่วงล่างและการควบคุม
ช่วงล่างของทั้ง 2 คันหนึบแน่น แต่เป็น Triton ที่ซับแรงสะเทือนได้ดีกว่าเล็กน้อย คือถ้าเจอลูกระนาดอันเป้ง Triton จะวิ่งผ่านแบบกึ้บเดียว คือแสดงอาการกระแทกแต่ตอนผ่านเพียงครั้งเดียวหลังจากนั้นคือจบ ไม่มีอาการ Rebound ซึ่งเป็น After Shock หลังการกระแทกหลงเหลืออยู่ ส่วน Navara จะหลงเหลืออาการอยู่เล็กน้อย การเข้าโค้งซิกแซก Triton ทำได้คล่องและมันส์กว่า ช่วงล่างเข้าโค้งได้อย่างกับเป็นรถเก๋งซีดาน หรือพวกรถ CrossOver SUV อย่าง Mazda CX-5, Chevrolet Captiva ส่วน Navara ยังหลงเหลือความเป็นช่วงล่างกระบะอยู่ในการเข้าโค้งแต่ละครั้ง ในทางวิบากช่วงล่างของทั้งคู่ทำได้ดีพอกัน แต่น่าชมเชย Triton มากกว่าตรงที่ทำช่วงล่างได้เหมือนรถเก๋งแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานแบบรถกระบะ ทำให้ช่วงล่างรับมือกับถนนได้หลากหลายรูปแบบมากกว่า แต่ข้อเสียเห็นจะเป็นพวงมาลัยที่ปรับเซ็ตมาเบากว่า Navara เมื่อขับความเร็วสูงจึงมีอาการแอบเสียวเล็กน้อย ต้องคอยประคองพวงมาลัยอย่างมีสมาธิ และการปรับเซ็ตเบรคที่คิดว่า Navara ทำได้ลงตัวกว่าทั้งน้ำหนักเบรค และระยะการเหยียบแป้นเบรก แต่สำหรับสมรรถนะการหยุดรถยังไม่มีข้อมูลจึงขอผลัดไปนำเสนอในครั้งหน้าแทนว่าเบรคของทั้งคู่ใช้ระยะเบรกจาก 100-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในระยะกี่เมตร

สรุป
ดีไซน์ภายนอก: Navara
ดีไซน์ภายใน: Navara
ความสะดวกสบาย: Triton
สมรรถนะอัตราเร่ง: Triton
อัตราประหยัดน้ำมัน: Triton
ช่วงล่าง: Triton
เกียร์: เสมอกัน
พวงมาลัย: Navara
เบรค: Navara
สมรรถนะใกล้เคียงกันมากการเลือกซื้อคงแล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลว่าจะชอบแบบไหนมากกว่ากัน

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เปรียบเทียบรถกระบะ Nissan Navara NP-300, Chevrolet Colorado, Ford Ranger, Mazda BT-50 Pro

ในช่วงที่ตลาดรถกระบะซบเซาเช่นนี้ เนื่องจากราคาผลิตผลทางการเกษตรที่ตกต่ำ ทำให้เหล่าเกษตรกรชะลอการซื้อรถยนต์เพื่อการขนส่งและการพาณิชย์ออกไป ทำให้ค่ายรถยนต์หลายๆ ค่ายชะลอการออกวางจำหน่ายรถกระบะรุ่นใหม่ไปเป็นปี 2015 จากตอนแรกที่ตั้งใจจะวางตลาดปี 2014 เช่น Mitsubishi All New Triton และยังมี Toyota Hilux Vigo ที่ตั้งใจจะเปิดตัวปี 2015 อยู่แล้ว พร้อมกับการลดต้นทุนขนานใหญ่ จากนั้นก็คงเป็น Isuzu D-Max กับแนวทาง Downsizing กับขุมพลังใหม่ดีเซล 1.9 ลิตร ที่จะออกตามมาในปลายปี 2015 อย่างไรก็ตามในปี 2014 นี้ ก็ยังมีความเคลื่อนไหวของวงการรถกระบะอยู่บ้างที่ฮือฮาที่สุดก็คงไม่พ้นการเปิดตัว Nissan All New Navara NP-300 ที่มาพร้อมกับบุคลิกความเป็นรถยนต์นั่งมากขึ้น ในแนวทางเดียวกับ Ford Ranger และ Mazda BT-50 Pro แต่ยังยึดขุมพลัง 2.5 ลิตร ดีเซล เป็นแกนหลัก ไม่มีแนวทาง Downsizing ลดขนาดเครื่องยนต์เป็นดีเซล 2.2 ลิตร เช่น Ford กับ Mazda นอกจากนั้นก็ยังมีความเคลื่อนไหวของค่าย Chevrolet ที่ปรับปรุงเครื่องยนต์ New Duramax ขึ้นมาทำให้มีแรงม้า แรงบิดเพิ่มขึ้น โดยเครื่องยนต์ New Duramax 2.5 และ 2.8 ลิตร ได้ไปประจำการใน Chevrolet Colorado กับ Chevrolet Trailblazer และครั้งนี้ขอเปรียบเทียบกระบะทั้ง 4 รุ่น ไปเป็นแนวทางการเลือกซื้ออย่างคร่าวๆ ที่บอกว่าอย่างคร่าวๆ เพราะ ข้อมูลที่รวบรวมมานำเสนอนั้นมีที่มาต่างกันโดย Navara NP-300 ที่ยังไม่มีสื่อไหนในไทยที่ทดสอบอัตราเร่งและอัตราประหยัดน้ำมันที่แน่นอนออกมาในตอนนี้ข้อมูลจึงอ้างอิงจากสื่อต่างประเทศซึ่งความเป็นจริงอาจจะคลาดเคลื่อนกับบ้านเรา ในส่วนของ Ford Ranger กับ Mazda BT-50 ของบ้านเราที่ไม่ระบุน้ำหนักรถในโบรชัวร์ และ Chevrolet Colorado ที่ระบุน้ำหนักรถในโบรชัวร์เป็นน้ำหนักรถเปล่า 2,850 กิโลกรัม ก็เว่อร์เกิน คิดว่าตัวเลขนั้นน่าจะเป็นน้ำหนักรถ รวมน้ำหนักบรรทุกซะมากกว่า ก็ต้องอาศัยไปค้นเอาจากสื่อต่างประเทศที่สเป็คก็อาจจะคลาดเคลื่อนไปเหมือนกันแต่ตัวเลขคงไม่ห่างกันมากนัก ในตอนนี้ก็เอาตัวเลขเหล่านี้ไปพิจารณาก่อน โดยรถเหล่านี้เป็นรุ่น 4 ประตู ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง เกียร์ธรรมดา 6 สปีดทุกคัน

Nissan Navara NP-300
Chevrolet Colorado
Ford Ranger
Mazda BT-50 Pro
ผลที่ออกมาทั้ง Ranger และ BT-50 นั้นใกล้เคียงกันมาก Ranger จะได้ความเร็วต้น และอัตราเร่งแซง ส่วนความเร็วสูงสุด BT-50 มากกว่านิดเดียว ส่วน Navara กับ Colorado ก็ทิ้งห่างขึ้นไปในเรื่องของความเร็ว ก็สมแล้วที่พิกัดเครื่องยนต์ใหญ่กว่าสองคู่ฝาแฝด Ford Mazda แต่ Navara ก็ยังกิน Colorado ไม่ลง จะมีที่เหนือกว่าอย่างชัดเจนก็คืออัตราเร่งแซง 7.9 วินาที นี่แหละเรียกว่าดีที่สุดในรถกระบะทั้ง 4 คัน ส่วนอัตราเร่งของ Navara รุ่น 190 แรงม้า 0-100 น่าจะไปไวกว่ารุ่น 163 แรงม้าไป 0.5 วินาที อัตราเร่งแซง 80-120 น่าจะดีกว่านิดหน่อยไม่น่าจะเร็วไปกว่า 7.8 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดเกิน 190 แน่นอนแต่ไม่รู้จะไปจบเท่าไหร่ ยังไงขอไม่ลงลึกในรายละเอียด เพราะ ต้องการเปรียบเทียบรุ่น 163 แรงม้าที่มีราคาใกล้เคียงกับคันอื่นมากกว่า ถ้าเป็นรุ่น 190 แรงม้า ราคาจะโดดสูงขึ้นไปมาก และอีกเรื่องที่ถึงคนทั่วไปจะไม่ใส่ใจแรงม้าแรงบิดต่อน้ำหนัก และแรงม้าแรงบิดต่อความจุกระบอกสูบ แต่ก็จะขอเทียบให้ดูโดย

เริ่มที่แรงม้าต่อน้ำหนัก Navara 91.6 แรงม้า/ตัน, Colorado 91.7 แรงม้า/ตัน, Ranger 85.62 แรงม้า/ตัน, BT-50 85.71 แรงม้า/ตัน
แรงบิดต่อน้ำหนัก Navara 226.4 NM/ตัน, Colorado 213.7 NM/ตัน, Ranger 214 NM/ตัน, BT-50 214.3 NM/ตัน
แรงม้าต่อความจุกระบอกสูบ Navara Colorado เท่ากันที่ 65.2 แรงม้า/ลิตร Ranger BT-50 เท่ากันที่ 68.18 แรงม้า/ลิตร
แรงบิดต่อความจุกระบอกสูบ Navara 161.2 NM/ลิตร, Colorado 152 NM/ลิตร, Ranger BT-50 เท่ากันที่ 170.45 NM/ลิตร

จะเห็นได้ว่าเครื่องยนต์ของ Ranger BT-50 จะให้พละกำลังคุ้มค่ากับพิกัดความจุ คือ 1 ลิตรให้กำลังถึง 68.18 แรงม้า และแรงบิด 170.45 นิวตัน-เมตร อย่างไรก็ตามการให้พละกำลังอย่างคุ้มค่านั้นก็ไม่ช่วยให้อัตราเร่ง ความเร็ว ดีกว่าเครื่องยนต์ 2.5 ลิตรแต่อย่างใด แต่ไปช่วยในเรื่องของอัตราประหยัดน้ำมันแทนซึ่งก็สมเหตุสมผลในตัวของมันเอง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับเลยว่า การส่งกำลังของเกียร์ Ford Ranger กับ Mazda BT-50 ทำได้ดีและแนบเนียนกว่า Navara และ Colorado อยู่ขั้นหนึ่ง

ในเรื่องช่วงล่างและพวงมาลัย ด้านช่วงล่างไม่ต่างกันมากนักระหว่าง Navara ที่ช่วงล่างนุ่มสบายขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อน ซึ่งก็คล้ายคลึงกับ Ranger BT-50 ที่ทำแนวนี้ออกมาก่อนแล้ว จะมีแต่ Colorado ที่ยังมีฟีลลิ่งช่วงล่างที่รู้สึกเป็นรถกระบะมากกว่าคือแข็งกว่า 3 คันที่เหลือ แต่ก็ไม่ถึงขั้นกระเด้งกระดอนจนเกินไป และรู้สึก Colorado จะเหมาะสมในการใช้งานบรรทุกมากกว่า (ความรู้สึกส่วนตัว) แต่ถ้าจะใช้งานบรรทุกจริงๆ ก็ควรซื้อ Toyota Hilux Vigo, Isuzu D-Max ตัวมาตรฐานไม่มีแค็บหลังนั่นแหละเหมาะสุดแล้ว ด้านฟีลลิ่งพวงมาลัยมีแต่ Mazda BT-50 Pro นี่แหละ พวงมาลัยจะเบาไปไหน จะว่าไปพวงมาลัยเบาคงเป็นแนวทางของ Mazda ไปแล้วเป็นมันทั้ง Mazda 2, 3, CX5, BT-50 ดีไม่ลามไป MX-5 ด้วย ก็คงต้องยอมรับว่าทาง Mazda คงตอบสนองลูกค้ากลุ่มที่ขับใช้งานในเมืองเป็นหลัก เลยปรับเซ็ตให้พวงมาลัยเบาขับง่าย แต่ขับบนไฮเวย์ด้วยความเร็วสูงนี่รู้สึกเบาเป็นปุยนุ่น เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็ไม่ควรจะขับเร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งรถกระบะกับความเร็วคงไม่เป็นสิ่งที่ปรารถนาสำหรับคนที่นั่งมากับคุณแน่ ส่วนอีก 3 คันที่เหลือก็ไม่มีอะไรจะบ่น จะมีแต่เรื่องความแม่นยำของพวงมาลัย Colorado นี่แหละที่ดูแล้วยังไม่คมเท่าไหร่แต่ก็ไม่สร้างปัญหาเท่าไหร่เพราะมันยังมีความเที่ยงตรงหลงเหลืออยู่ซัก 80% Navara ก็เหมือนกับว่าจะเพอร์เฟ็คแต่ช่วงความเร็วสูงก็รู้สึกเบาเกินไปอยู่ดีแต่ไม่แย่เท่า BT-50 ส่วน Ford Ranger ลงตัวทั้งน้ำหนักและทิศทางความแม่นยำแต่ระยะฟรีของพวงมาลัยยังรู้สึกแปลกๆ ขัดๆ อยู่บ้าง อ้าวไปๆมาๆ นี่บ่นมันครบทุกคันเลย แต่ถ้าให้เรียงลำดับฟีลลิ่งพวงมาลัยยังให้ Ford Ranger ดีที่สุดตามมาด้วย Navara อันดับสอง, Colorado อันดับสาม และ BT-50 รั้งท้าย

สรุปโดยรวมคันไหนดีกว่ากัน ก็ยังบอกไม่ได้เพราะสมรรถนะไม่ห่างกันมากนัก ต่างกันเพียงจุดทศนิยมเท่านั้น แต่ถ้าให้เรียงลำดับโดยความรู้สึกส่วนตัวผมขอเรียงลำดับดังนี้
1. Navara, 2. Ranger, 3. Colorado, 4. BT-50

ส่วนเรื่องศูนย์บริการผมให้
1. Nissan, 2. Mazda, 3. Chevrolet, 4. Ford
เรียงลำดับตามนี้
เท่ากับว่าในใจเลือก Navara ไปแล้วแต่ยังทนรอ All New Triton กับ Hilux Vigo แค่นั้นเอง

Mazda BT-50 Pro Service Manual+Wiring Diagram

อ่านรีวิว เปรียบเทียบ All New Triton VS. Navara NP-300

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557

Nissan Navara NP300 กระบะพันธุ์แกร่ง ที่แฝงไปด้วยความหรู

และแล้วก็มาถึงคิวของกระบะสุดฮ็อตในชั่วโมงนี้อย่าง Nissan Navara NP300 ในวันนี้จากที่เปิดตัวและออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนที่แล้ว เห็นบางคนพอรถออกปุ๊บรับรถมาขับทันทีสงสัยว่าสั่งจองล่วงหน้าไว้นานแล้วตั้งแต่ยังไม่มีรถให้ทดลองขับ แสดงว่ามั่นใจในประสิทธิภาพรถคันนี้มาก และเท่าที่ทราบมายังไม่มีใครบ่นกับรถรุ่นนี้ มีแต่ feedback ดีๆ มาตลอด หลายคนอาจจะรู้จักมันดีอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ขอแนะนำข้อมูลให้ท่านได้ทราบเพิ่มเติมเผื่อท่านที่ลังเลใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ

Nissan Navara NP300
ครั้งนี้ Navara มากับเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร คอมมอนเรล 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมเทอร์โบแปรผัน มีขุมพลังให้เลือก 2 แบบ คือ 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที และ 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 403 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ โดยเกียร์ธรรมดาเป็นแบบ 6 สปีด ส่วนเกียร์อัตโนมัติมี 7 สปีดพร้อมโหมดบวก ลบ เปลี่ยนเกียร์แบบเกียร์ธรรมดา และ Navara รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อหลังมีน้ำหนักรถอยู่ระหว่าง 1,780-1,875 กิโลกรัม ส่วนรุ่น 4WD มีน้ำหนัก 1,905 กิโลกรัม สำหรับรุ่นเกียร์ธรรมดา และ 1,960 สำหรับรุ่นเกียร์อัตโนมัติ รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.9-6.2 เมตร
สมรรถนะและอัตราเร่ง
ถือว่าลงตัวกว่า Navara รุ่นที่แล้วมีการปรับปรุงอัตราเร่งให้ฉับไวมากขึ้น และการส่งกำลังเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่กระชากกระตุกเหมือนรุ่นเดิมที่เกียร์ธรรมดามีอัตราทดที่ไม่ลงตัวตั้งแต่เกียร์ 1,2,3 แต่กับเกียร์อัตโนมัติผมไม่รู้ เพราะเคยลองแต่รุ่นเกียร์ธรรมดา ซึ่งความเร็วสูงสุดน่าจะไปได้ถึง 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในรุ่น 190 แรงม้า สำหรับรุ่น 163 แรงม้า น่าจะไปได้ซักประมาณ 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามหน้าปัดวัดความเร็ว ที่ว่าน่าจะเพราะไม่แน่ใจว่ามันจะก้ำกึ่งหรือเปล่าอาจน้อยกว่าหรือมากกว่าเพราะเข็มมันไม่อยู่นิ่งกับที่ แต่แนะนำว่าไม่ต้องไปสนใจกับความเร็วสูงสุดเพราะในชีวิตประจำวันมันไม่จำเป็นต้องใช้ความเร็วถึงขนาดนี้อยู่แล้วแต่ถ้าเป็นสนามแข่งก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งความเร็วสูงสุดมันก็พอๆ กับรุ่นเดิมและก็พอๆ กับกระบะส่วนใหญ่ในตลาดตอนนี้ ส่วนสปีดต้นรู้สึกเร็วกว่ารุ่นเดิมนิดเดียว ซึ่งผู้ผลิตไม่ได้เน้นเรื่องนี้มากอยู่แล้วแต่จะไปเน้นอัตราประหยัดน้ำมันมากกว่า ซึ่งทาง Nissan อ้างว่ารุ่นนี้ประหยัดกว่ารุ่นก่อนหน้า เพราะประสิทธิภาพการเผาไหม้หมดจดยิ่งขึ้น และลดแรงเสียดทานระหว่างชิ้นส่วน ทำให้เครื่องยนต์สึกหรอน้อยลง และตัวถังลู่ลมมากขึ้นทำให้ไม่สิ้นเปลืองแรงในการขับเคลื่อน NP300 มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ หรือ ค่า CD ที่ 0.403 ลดลงจากเดิมที่มีค่า CD อยู่ที่ 0.415 (ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศหรือค่า CD ไม่มีหน่วยให้เรียกเป็นปอนด์ นิวตัน อะไรแบบนี้ มีแค่ค่าเป็นตัวเลข)
ช่วงล่างและการทรงตัว
ถือว่าปรับปรุงได้ดีกว่ารุ่นเดิมมาก โดยรุ่นเดิมช่วงล่างรู้สึกว่าแข็งเกินไปและกระเด้งเวลาเจอถนนขรุขระแต่ก็ยังทรงตัวได้ดี ซึ่งรุ่นใหม่นี้ก็ทรงตัวได้ดีแต่ปรับความแข็งให้มันนิ่มลงเวลาเจอหลุมจึงไม่ค่อยรู้สึกว่ากระแทกจนจุกเหมือนรุ่นเดิม รู้สึกว่ารุ่นใหม่ปรับช่วงล่างมาให้ขับขี่สบายขึ้น และยังมั่นใจในการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงอยู่เช่นเดิม ซึ่งบางโค้งสามารถใช้ความเร็วได้ถึง 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (โค้งยาวๆ) แต่แนะนำว่าความเร็วที่ปลอดภัยในการเข้าโค้งปกติอยู่ที่ไม่เกิน 80 หรือ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าเป็นโค้งหักศอกไม่ควรเกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การทรงตัวบนทางตรงธรรมดายังทำได้ดีเหมือนเดิม ขับ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ยังนิ่งไม่มีอาการโคลงให้เห็น (ถนนต้องเรียบด้วย) แต่ถ้าเกินกว่านั้นก็มีส่ายบ้าง และเกิน 180 เริ่มรู้สึกว่าอันตราย ถ้าขับเกิน 180 แล้วควรถอนคันเร่งทันทีเพราะเกินกว่านี้รถกระบะรุ่นไหนในไทยก็เอาไม่อยู่ไม่ใช่อย่าง Volkswagen Amarok, Ford F-150 Raptor, Dodge Ram SRT กระบะที่เมืองนอกเค้าใช้กัน
ระบบความปลอดภัยและอุปกรณ์เสริม
ให้มาครบทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวขณะเข้าโค้ง ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี เบรก ABS (รถยุคปัจจุบันจำเป็นต้องมีเป็นอุปกรณ์มาตรฐานอยู่แล้ว) ระบบกระจายแรงเบรก ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน และควบคุมความเร็วเวลาลงทางลาดชัน และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในระดับรถหรูที่มากร้อมกับพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติพร้อมเข็มทิศดิจิตอล ระบบนำทางอัจฉริยะ ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้ายขวา และยังมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังเป็นคันแรกในไทย เบาะปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง หน้าจอแสดงผลแบบ 3 มิติ มีกล้องมองหลังขณะถอยจอดมาให้อีกด้วย เรียกว่าภายในตกแต่งหรูหราดูดีจนนึกว่านั่งใน Nissan Teana ที่เป็นรถซาลูน D-Segment ของค่ายที่เป็นคู่ต่อกรกับ Toyota Camry และ Honda Accord ซะอีก

สรุป ภายนอกดูบึกบึนแข็งแกร่ง ภายในดูหรูหรา สมรรถนะไว้ใจได้ น่าซื้อหามาไว้ใช้งาน

ภายในดูหรูหราเกินรถกระบะ

หัวเกียร์ชุบโครเมี่ยมซะด้วย
อ่านรีวิว เปรียบเทียบ All New Triton VS. Navara NP-300