Mclaren 650S |
Mclaren 650S ใช้เครื่องยนต์ร่วมกับ 12C รหัส M838T V8 สูบ 32 วาล์ว ความจุ 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบ อัตราส่วนกำลังอัด 8.7:1 ที่อัพเกรดพละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 650 แรงม้าที่ 7,250 รอบต่อนาที (แรงม้าสูงสุดมาที่รอบต่ำกว่า Lamborghini Huracan ถึง 1,000 รอบต่อนาที) แรงบิด 678 นิวตัน-เมตร ที่ 6,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง น้ำหนักรถ 1,428 กิโลกรัม กระจายน้ำหนักด้านหน้า 42.5% ด้านหลัง 57.5% ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.0 วินาที 0-161 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ 5.7 วินาที 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 8.4 วินาที ทำความเร็วจากจุดหยุดนิ่งถึงควอเตอร์ไมล์ได้ 10.5 วินาทีที่ความเร็ว 224 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร่งความเร็วไประยะทาง 1 กิโลเมตร ได้ภายใน 18.9 วินาทีที่ความเร็ว 281 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วสูงสุด 333 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันโดยเฉลี่ย 11.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือคิดเป็นอัตราการประหยัดน้ำมัน 8.547 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อย CO2 275 กรัมต่อกิโลเมตร ความจุถังน้ำมัน 72 ลิตร ทำให้มีพิสัยการเดินทางที่น้ำมันเต็มถัง 615.384 กิโลเมตร ระยะเบรกของรถคันนี้จาก 100-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใช้ระยะ 30.5 เมตรหรือ 100 ฟุต จาก 200-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใช้ระยะ 123 เมตรหรือ 404 ฟุต รัศมีวงเลี้ยว 12.3 เมตร
ตัวเลขสมรรถนะต่างๆดูดีมากๆ แล้วนักขับทดสอบก็มีความเห็นว่า Mclaren 650S มีการสื่อสารระหว่างล้อทั้งสี่ล้อกับพวงมาลัยอย่างชัดเจนมันจะสามารถควบคุมรถได้อย่างละเอียดและมั่นใจกว่าเมื่อปิดระบบ Stability Control (แสดงว่าปิดแล้วจะรู้สึกถึงทิศทางการเลี้ยวของล้อได้ดีกว่า) เมื่อมันเกิดสุดลิมิตแล้วมันจะส่งความรู้สึกมาให้รับรู้ทำให้คุณตัดสินใจได้ถูกว่าจะทำยังไงต่อไป การสื่อสารระหว่างรถกับคนขับนั้นทำได้ดีและละเอียดมาก ไม่เหมือนรถหลายๆคันที่ขับไปจับอาการอะไรไม่ได้เลยสุดท้ายขับหลุดโค้งตกข้างทาง 650S สามารถใช้ขับได้ดีในชีวิตประจำวันโดยใช้ Normal Mode และ Sport Mode และมันก็รู้สึกนั่งสบายเมื่อต้องขับทางไกลโดย Normal Mode จะรู้สึกเหมือนขับรถหรูเกียร์ออโต้อย่าง Bentley และ Rolls-Royce ส่วนใน Sport Mode จะรู้สึกกระฉับกระเฉง พวงมาลัยคมขึ้น แต่ยังมีความนิ่งและมั่นคง ไม่สะเทือนแม้เจอหลุมบ่อและลอนคลื่นหรือลูกระนาดบนถนน แต่ใน Race Mode จะรู้สึกเร็วอย่างกับจะบินได้ต้องตั้งสมาธิในการขับมากๆ และจะมีความเปราะบางทางความรู้สึกมากไปหน่อย คือเจออะไรนิดอะไรหน่อยก็รู้สึกมันไปซะหมด แม้กระทั่งก้อนกรวดก้อนเล็กๆ ก็ส่งความรู้สึกให้สัมผัสได้ จนบางทีรู้สึกมันไม่นิ่ง โดยสรุปก็คือ Sport Mode ให้ค่าสมรรถนะที่เหมาะสมที่สุดวิ่งได้ทั้งในถนนสาธารณะและสนามแข่ง Normal Mode ให้ความรู้สึกนั่งสบายเหมาะสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วน Race Mode ถ้าถนนไม่เรียบจริงไม่ได้อยู่ในสนามแข่งอย่าใช้ถ้ามือไม่ถึง
บั้นท้ายมาจาก 12C |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น