วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Ford Ranger เตรียมวางตลาดรุ่น Minorchange ในปี 2015

Ford Ranger Minorchange

Ford Ranger Minorchange
มีข่าวดีสำหรับสาวกรถกระบะอีกแล้ว เมื่อทาง Ford ได้มีกำหนดการที่จะวางขาย Ford Ranger Minorchange ในปี 2015 นี้ และทาง Ford ก็ได้ลง VDO ทดสอบรถตัวนี้อย่างเป็นทางการไปแล้ว จึงค่อนข้างแน่นอนว่าใช่คันดังกล่าวแน่นอน ดังที่ปรากฏในคลิปวีดีโอต่อไปนี้ Ford Ranger 2015
รุ่น Minorchange นี้ได้นำดีไซน์ด้านหน้าของ All New Ford Everest มาใช้ ทำให้ดูยกระดับไปอีกขั้น และหลายๆ ส่วนก็นำดีไซน์มาจาก Ford F-150 Raptor กระบะตัวท็อปของค่าย สำหรับเรื่องขุมกำลังคาดว่าคงยังเป็นเครื่องยนต์ ตัวเดิมคือ ดีเซล 2.2 ลิตร 150 แรงม้า แรงบิด 375 นิวตัน/เมตร สำหรับรุ่น Wildtrak จะเป็นดีเซล 3.2 ลิตร 200 แรงม้า แรงบิด 470 นิวตัน/เมตร และสำหรับรุ่นเบนซินแรงม้าจะเท่าเดิมที่ 166 แรงม้า แต่อาจจะอัพเกรดแรงบิดเพิ่มจาก 226 นิวตัน/เมตร เป็น 375 นิวตัน/เมตร แต่ยังไม่มีการ confirm อย่างเป็นทางการจาก Ford หมายความว่าที่กล่าวมาทั้งหมดอาจจะไม่ใช่ก็ได้ ก็อดใจรอไว้เจอกันปีหน้าแน่นอน จะเข้าไทยปีหน้าหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่สำหรับทั่วโลกแล้วเจ้า Ranger Minorchange มาแน่ ในปี 2015 ที่จะถึงนี้ ล้างคอรอได้เลย เอ้ย!! ไม่ใช่ เตรียมตัวเจอกันได้เลย

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Mini Coupe และ Roadster เตรียมอำลาสายพานการผลิตในปีหน้า

Mini Coupe, Mini Roadster
เป็นที่น่าเสียดายที่ทาง BMW, Mini มีแผนที่จะยุติบทบาทของ Mini ตัวถัง Coupe และ Roadster ในปีหน้านี้แล้ว โดยทาง Patrick McKenna ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนผลิตภัณฑ์ ของ Mini ในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยสาเหตุ ที่ต้องยุติการผลิต Mini Coupe และ Roadster ว่า รถทั้งคู่อยู่เลยช่วงพีคของผลิตภัณฑ์และมาถึงบั้นปลายของมันแล้ว ซึ่งดูเป็นเหตุผลที่ฟังดูคลุมเครือชอบกล แต่ว่ากันว่า ความจริงแล้ว รถทั้ง 2 รุ่น ไปอยู่ในกลุ่มที่ทับซ้อนกับรุ่นอื่นของ Mini เอง ทั้งๆ ที่มีความแตกต่างด้านการออกแบบ แต่ทางด้านประโยชน์การใช้งานแล้ว เป็นรถที่ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องมีมันอยู่บนโลกนี้เลย เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ก็สนใจ Mini ตัวถังมาตรฐาน 5 ประตูมากกว่า ทาง Mini จึงคิดว่าแทนที่จะไปอุดช่องโหว่ในแต่ละเซกเม้นท์ สู้มาเน้นทำกำไรในรุ่นที่ขายดีอยู่ซะจะดีกว่า แทนที่จะไปทนดักดานอยู่กับรถที่ขายไม่ค่อยจะได้ คล้ายๆกับ Mitsubishi ที่ไปเน้น Triton, Pajero กับพวก Ecocar แล้วเลิกผลิต Lancer EX ที่ขายไม่ค่อยออกนั่นแหละ ในด้านหนึ่งก็เข้าใจว่า รถมันขายไม่ได้หรือขายได้แต่น้อยก็ต้องยุติการผลิตเป็นธรรมดา แต่อีกใจหนึ่งก็แอบเสียดายที่แต่นี้ต่อไปจะไม่มี Mini Coupe กับ Roadster มาสร้างสีสันในตลาดกลุ่มนี้อีกแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นธรรมดาของวัตจักรการทำธุรกิจ และตามหลัก Demand Supply เมื่ออุปสงค์ไม่มีอุปทานก็ไม่เกิด ดังเช่น Mini Coupe, Roadster เมื่อไม่ค่อยมีคนต้องการ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำออกมา รถทั้งคู่จึงต้องมาพบกับจุดจบแบบนี้ทั้งๆ ที่จริงๆแล้ว ทั้งคู่ก็มีดีอยู่ในตัวเช่นกัน

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เปรียบเทียบรถกระบะ All New Mitsubishi Triton VS. Nissan Navara NP-300

All New Mitsubishi Triton
Nissan Navara NP-300
ในที่สุดก็ถึงเวลาของการมาเจอกันระหว่างกระบะสุดแกร่ง Nissan Navara NP-300 กับ กระบะสุดล้ำ All New Mitsubishi Triton กันแล้ว ครั้งนี้ขอนำมาเปรียบเทียบในรุ่นท็อปสี่ประตู ขับเคลื่อนสี่ล้อ เกียร์อัตโนมัติกันก่อน เริ่มระฆังยกแรกกันเลย

เซ้นส์ในการตั้งชื่อ
ดูเหมือนว่า Nissan จะตั้งชื่อได้ฉลาดมากในครั้งนี้ คือใส่รหัส NP-300 ต่อท้ายแทนที่จะเรียกว่า All New Navara ที่ถึงแม้จะเรียกได้ง่ายและติดหูมากกว่า แต่มันจะมีปัญหาแน่ๆ ถ้า Navara รุ่นนี้มีมากกว่า 2 เจเนอเรชั่น จะเรียกว่า All New อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็กระไรอยู่ ยกแรกนี้ Navara เป็นฝ่ายขึ้นนำไปก่อน

รูปลักษณ์ภายนอก
ถึงแม้ตัวจริงออกมา Mitsubishi Triton จะออกมาสวยกว่าภาพหลุดเยอะ แต่เมื่อเทียบกับ Nissan Navara NP-300 แล้ว เรียกว่าทาง Mitsubishi ออกแบบกระจังหน้าได้เห่ยสิ้นดี ดูออกแนวเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วยังไงชอบกล ถ้าทำออกมาแบบภาพข้างล่างนี้จะไม่ว่าเลย
ภาพจาก Triton-Club.com
ถ้าออกมาอย่างในภาพจะดูทะมัดทะแมงกว่าเยอะ ในเรื่องนี้ Navara ออกแบบรูปทรงได้น่าดูน่าชมมากกว่า ถึงจะดูไม่ล้ำยุค แต่ดูแล้วหน้าตามั่นคงภูมิฐาน ดูแล้วดุดันสมบุกสมบันกว่าเยอะ สำหรับผมเองถ้าซื้อ Triton คงจะต้องหากระจังหน้ามาเปลี่ยนอย่างในภาพจะดีกว่า ยกที่สองนี้ Navara ก็ชนะไปในเรื่องรูปทรงภายนอกอย่างไม่ยากเย็น

ภายในห้องโดยสาร
ทั้ง Triton และ Navara นั่งสบายทั้งคู่นับว่าเป็นกระบะที่นั่งสบายติดอันดับต้นๆ ของตลาด Navara เน้นตกแต่งหรูหราเหมือนรถเก๋ง ในขณะที่ Triton ปรับแต่งภายในให้ดูร่วมสมัยมากขึ้น ไม่ใช่หลุดโลกแบบเมื่อก่อน การเก็บเสียงทั้งคู่ทำได้ดี การเดินทางไกล Triton นั่งแล้วจะรู้สึกปวดเมื่อยน้อยกว่า วัดดูแล้วเบาะนั่ง Triton จะใหญ่กว่า Navara นิดหน่อย วัสดุทำเบาะนุ่มแต่แน่นไม่ยุ่ยเกินไปทำให้เวลารับแรงกระแทกจากพื้นเบาะก็เป็นอีกส่วนที่ช่วยได้มาก สรุปก็คือ Triton นั่งสบายกว่า Navara แต่ในการตกแต่งนั้น Navara ดูหรูหรากว่าเล็กน้อย Triton จะมีข้อติอยู่อย่างนึงคือยกชุดพวงมาลัยมาจากรถที่ราคาถูกกว่าอย่าง Mirage และ Attrage แต่ Navara ยกชุดตกแต่งภายในมาจาก Syphy, Pulsar ซึ่งราคาแพงกว่า สิ่งนี้จึงกลายเป็นจุดด้อยของ Triton ไป และอีกอย่างก็คือ Navara มีช่องแอร์ให้กับผู้โดยสารตอนหลังแต่ Triton ไม่มี ก็เป็นอันว่า ข้อดีของ Triton ที่ออกแบบห้องโดยสารได้อย่างลงตัวใช้สอยอย่างสะดวกสบาย และทำให้มันนั่งสบายกว่า Navara กลับถูกข้อด้อยเพียงสองอย่าง แต่เป็นสองอย่างที่สำคัญมาก ทำให้ในด้านนี้ Navara สามารถพลิกแซงกลับมาชนะ Triton อย่างหวุดหวิด

สมรรถนะเครื่องยนต์อัตราเร่ง
Triton ใช้เครื่องยนต์รหัส 4N15 2,442 ซีซี แรงม้าสูงสุด 181 แรงม้าที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิด 430 นิวตัน/เมตร ที่ 2,500 รอบต่อนาที ส่วน Navara NP-300 ใช้เครื่องยนต์รหัส YD25DDTi 2,488 ซีซี ให้แรงม้าสูงสุด 190 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 450 นิวตัน/เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที มาถึงตรงนี้คงคิดว่า Navara จะแรงกว่าละสิ ลองมาดูให้ละเอียดก่อน Triton มีน้ำหนักรถ 1,860 กิโลกรัม ส่วน Navara มีน้ำหนัก 1,875 กิโลกรัม Triton เบากว่าถึง 15 กิโลกรัม และยังทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ดีกว่าที่ 10.81 วินาที ส่วน Navara ทำได้ 11.62 วินาที อัตราเร่งยืดหยุ่น 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็เป็น Triton ที่ทำได้ดีกว่าที่ 7.57 วินาที ส่วน Navara ทำได้ 7.88 วินาที ส่วนความรู้สึกในการขับขี่นั้น Triton จะมีอาการ Turbo Lag หลงเหลือมาจากรุ่นเดิมอยู่ แต่ก็นับว่าอาการลดน้อยลงมา ส่วน Navara ไม่มีอาการนี้ให้เห็น อย่างไรก็ตามจับเวลาออกมาจริงๆ ก็ต้องยอมรับว่า Triton เร็วและแรงกว่า และส่วนตัวคิดว่าเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีดของ Triton ทำงานได้ดีไม่แพ้เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดของ Navara เลย ในด้านนี้ให้ Triton ชนะไป

อัตราประหยัดน้ำมัน
Triton ทำได้ดีกว่าเล็กน้อยที่ 11.73 กิโลเมตรต่อลิตร ส่วน Navara ทำได้ 11.43 กิโลเมตรต่อลิตร ดูเหมือนจะไม่ประหยัดแต่อย่าลืมว่าพวกมันทั้งคู่คือกระบะขับสี่ที่มีน้ำหนักรวมเกือบ 2 ตันถ้ามีผู้โดยสารและสัมภาระ อัตราประหยัดน้ำมันเพียงเท่านี้ก็อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยกระบะขับสี่ทั่วๆ ไป แต่เมื่อเทียบแค่ 2 คันนี้ เป็น Triton ที่เฉือนชนะไป

ช่วงล่างและการควบคุม
ช่วงล่างของทั้ง 2 คันหนึบแน่น แต่เป็น Triton ที่ซับแรงสะเทือนได้ดีกว่าเล็กน้อย คือถ้าเจอลูกระนาดอันเป้ง Triton จะวิ่งผ่านแบบกึ้บเดียว คือแสดงอาการกระแทกแต่ตอนผ่านเพียงครั้งเดียวหลังจากนั้นคือจบ ไม่มีอาการ Rebound ซึ่งเป็น After Shock หลังการกระแทกหลงเหลืออยู่ ส่วน Navara จะหลงเหลืออาการอยู่เล็กน้อย การเข้าโค้งซิกแซก Triton ทำได้คล่องและมันส์กว่า ช่วงล่างเข้าโค้งได้อย่างกับเป็นรถเก๋งซีดาน หรือพวกรถ CrossOver SUV อย่าง Mazda CX-5, Chevrolet Captiva ส่วน Navara ยังหลงเหลือความเป็นช่วงล่างกระบะอยู่ในการเข้าโค้งแต่ละครั้ง ในทางวิบากช่วงล่างของทั้งคู่ทำได้ดีพอกัน แต่น่าชมเชย Triton มากกว่าตรงที่ทำช่วงล่างได้เหมือนรถเก๋งแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานแบบรถกระบะ ทำให้ช่วงล่างรับมือกับถนนได้หลากหลายรูปแบบมากกว่า แต่ข้อเสียเห็นจะเป็นพวงมาลัยที่ปรับเซ็ตมาเบากว่า Navara เมื่อขับความเร็วสูงจึงมีอาการแอบเสียวเล็กน้อย ต้องคอยประคองพวงมาลัยอย่างมีสมาธิ และการปรับเซ็ตเบรคที่คิดว่า Navara ทำได้ลงตัวกว่าทั้งน้ำหนักเบรค และระยะการเหยียบแป้นเบรก แต่สำหรับสมรรถนะการหยุดรถยังไม่มีข้อมูลจึงขอผลัดไปนำเสนอในครั้งหน้าแทนว่าเบรคของทั้งคู่ใช้ระยะเบรกจาก 100-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในระยะกี่เมตร

สรุป
ดีไซน์ภายนอก: Navara
ดีไซน์ภายใน: Navara
ความสะดวกสบาย: Triton
สมรรถนะอัตราเร่ง: Triton
อัตราประหยัดน้ำมัน: Triton
ช่วงล่าง: Triton
เกียร์: เสมอกัน
พวงมาลัย: Navara
เบรค: Navara
สมรรถนะใกล้เคียงกันมากการเลือกซื้อคงแล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลว่าจะชอบแบบไหนมากกว่ากัน

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Mercedes-Benz เปิดตัวรุ่น C-Class BlueTEC Hybrid

Mercedes-Benz C-Class W205
Mercedes-Benz ประเทศไทยหวังสานต่อความสำเร็จกับรุ่น C-Class ด้วยการส่งรุ่นดีเซลไฮบริด มาทำตลาดเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้ามากขึ้น เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์หลากหลายรูปแบบอย่างมีประสิทธิภาพ โดยทาง Mercedes-Benz ประเทศไทย จะแบ่งรุ่น C-Class BlueTEC Hybrid เป็น 2 รูปแบบตัวถังได้แก่ รุ่น AMG Dynamic ในรูปแบบตัวถังซีดาน และ รุ่น Estate AMG Dynamic ในรูปแบบสเตชั่นแวกอน โดย C-Class รุ่นดีเซลไฮบริดจะมีชุดแต่ง AMG Sports Package มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ในรุ่น Estate นั้นมีระบบเปิด-ปิดประตูหลังกึ่งอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า เปิดได้จากปุ่มควบคุมตรงบริเวณเบาะคนขับ, จากกุญแจหรือจากฝากระโปรงท้าย สำหรับห้องสัมภาระสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้อย่างหลากหลายรูปแบบ ทำให้มีพื้นที่การใช้งานตั้งแต่ 450-1,470 ลิตร ขึ้นอยู่กับรูปแบบการพับเบาะนั่ง

สำหรับขุมกำลังของเครื่องยนต์จะเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร 4 สูบแถวเรียง ให้แรงม้าสูงสุด 204 แรงม้าที่ 3,800 รอบต่อนาที แรงบิด 500 นิวตัน/เมตร ที่ 1,600-1,800 รอบต่อนาที รวมพลังขับเคลื่อนกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่มีกำลัง 27 แรงม้า เก็บประจุไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่ Lithium Ion ช่วยให้รุ่น Sedan สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 6.4 วินาที มาตรฐานการประหยัดน้ำมันและค่าไอเสียผ่านระดับ Euro 6

สำหรับราคานั้น Mercedes-Benz C-Class BlueTEC Hybrid AMG Dynamic ตัวถังซีดาน จะมีสนนราคาอยู่ที่ 3,190,000 บาท ส่วน Mercedes-Benz C-Class BlueTec Hybrid Estate AMG Dynamic ตัวถังแวกอน มีสนนราคาอยู่ที่ 3,390,000 บาท

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เผยโฉม Mazda CX-3 เรียกน้ำจิ้มเบาๆ

Mazda CX-3

ท้าย Mazda CX-3
คงไม่รู้จะออกแบบยังไงแล้วสำหรับรถรุ่นปัจจุบันของ Mazda ที่แต่ละรุ่นไม่ถ่างตาดูดีๆ นี่แยกไม่ออกเลยว่ารุ่นไหนเป็นรุ่นไหนมีแต่เพียงกระบะ BT-50 เท่านั้น ที่ต่างไปจากคันอื่น แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ BT-50 รุ่นต่อไปก็อาจจะออกมาพิมพ์เดียวกันกับ CX-5, Mazda 2, 3 และ CX-3 คันนี้ก็เป็นได้ Mazda CX-3 เป็นการใช้พื้นฐานทางวิศวกรรมของ Mazda 2 กับ Mazda 3 Skyactiv มาปรับเปลี่ยนให้เป็น Compact CrossOver SUV อย่างที่ Honda HR-V ใช้ Platform ของ Civic, Jazz สำหรับสเป็คเครื่องยนต์ก็แล้วแต่พื้นที่ที่จะไปจำหน่าย อาจจะใช้ Skyactiv-D เครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร หรืออาจจะเป็น Skyactiv 2.0G เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร มากับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD ที่ปรับปรุงใหม่ล่าสุด และจะมีระบบที่ปรับปรุงใหม่อย่างเช่น ระบบเชื่อมต่อ Mazda Connect และ i-ACTIVSENSE ที่ประกอบไปด้วยระบบเตือนจุดบอดและเตือนเมื่อมีรถวิ่งข้ามถนนตัดหน้า, ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า Mazda Radar Cruise Control (MRCC), ระบบช่วยเบรคอัตโนมัติ Smart Brake Support (SBS) รถ Mazda CX-3 จะมาเติมเต็มช่องว่างสำหรับผู้ที่ต้องการใช้รถเอนกประสงค์แต่ไม่ต้องการรถที่ใหญ่อย่าง CX-5 (แต่ส่วนตัวคิดว่ามันไม่ได้ใหญ่อะไรเลย) จะให้พูดตามตรงแบบไม่อ้อมค้อมเลยก็คืออยากได้ SUV แต่ไม่มีปัญญาซื้อ CX-5 นั่นแหละถึงต้องมี Mazda CX-3 ย่อส่วน CX-5 แล้วขายในราคาถูกลง สำหรับเมืองไทยยังไม่ทราบว่าจะมีรุ่นนี้ออกมารึเปล่า แต่ที่ญี่ปุ่นจะเริ่มผลิต ในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ปี 2015 และอาจจะออกวางจำหน่ายหลังเดือนพฤษภาคม เป็นต้นไป ถ้าหากจะมาไทยอาจต้องรอนานกว่านั้นอีกซักระยะ แต่ก็ไม่แน่ถ้าทาง Mazda ประเทศไทยต้องการให้มาชนกับ HR-V ในช่วงที่กำลังฮ็อต ก็คงจะมาในเวลาที่ไล่เลี่ยกับที่ญี่ปุ่น ซึ่งทาง Mazda ก็คาดหวังมากกับรถรุ่นนี้ว่าจะทำรายได้ไปทั่วโลก คงต้องรอลุ้นกันอีกทีว่ารถคันนี้ออกมาจริงๆ แล้วจะทำได้แค่ไหน สำหรับตัวผมเองจะขายไม่ขายก็ไม่ซื้ออยู่ดี เพราะถ้าจะเอาจริงๆ ซื้อ CX-5 หรือ ซื้อ Mazda 3 ไปเลยดีกว่า รถรุ่นนี้มันก็เหมือนแนวๆ Nissan Juke, Ford Ecosport และ Honda HR-V นั่นแหละ เอาจริงๆ แล้วใช้ประโยชน์ได้ไม่เท่าไหร่ พื้นที่ก็เล็ก ใช้งานหนักก็ไม่ดี ลุยก็ไม่ได้ แล้วยังมีหน้ามาใช้คำว่า SUV ต่อท้าย ทั้งๆ ที่อรรถประโยชน์ใช้สอยของมันมีค่อนข้างจำกัด แถมราคาก็แพงเว่อร์เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับจากรถกระป๋องๆ แบบนี้ สำหรับ Mazda CX-3 ถึงยังไม่ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ก็คงจะแนวเดียวกับ 3 คันนั้น และราคาก็คงจะใกล้เคียงกัน บอกเลยว่ารถประเภทนี้มันไม่ได้ใช้งานเอนกประสงค์อะไรหรอก ถึงใช้ได้ก็ทำได้ห่วยมาก ไม่คู่ควรให้ตั้งราคา 8 แสนเลยด้วยซ้ำ ถ้าจะซื้อก็คงประมาณตังค์เหลือไม่รู้ไปทำอะไร เลยซื้อไปขับเล่นพอเบื่อแล้วขายทิ้งมากกว่า เพราะหากมองความจำเป็นในการใช้งานจริงๆ แล้ว รถที่ไม่ได้อยู่ในเซกเม็นต์เดียวกันนี้หลายๆ คันก็สามารถใช้งานได้ใกล้เคียงกัน อีกทั้งยังราคาถูกกว่า เช่นรถ Hatchback หรือ Sedan B-C Segment ทั่วๆไป เพียงแต่ต้องทนกับรูปลักษณ์ที่ซ้ำซากจำเจหน่อยก็เท่านั้นเอง ซึ่งมันก็ไม่นับว่าเสียผลประโยชน์อะไรมากมาย สรุปแล้ว Mazda CX-3 รุ่นนี้จะมาไทยก็ดีไม่มาก็ได้ เพราะยังไงก็มีรถที่ใช้งานได้เหมือนๆกันอยู่ในตลาดอย่างมากมายอยู่แล้ว

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

มาแล้ว All New Mitsubishi Triton พร้อมสเป็คและราคาอย่างเป็นทางการ

All New Triton

Mitsubishi Triton

ท้าย Triton
ดูดีกว่าที่คิดไว้สำหรับ All New Mitsubishi Triton หลังจากได้เห็นภาพ Spyshot แล้วต่างคนต่างร้องยี้ แต่สุดท้ายคันจริงออกมา ก็นับว่าไม่ทำให้ผิดหวังในเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกที่ยังเป็นกระบะมาดสปอร์ต ที่ดูแล้วไม่เหมือนจะออกมาคล้ายกระบะจีนอย่างที่หลายๆ คนกลัวกัน พิสูจน์แล้วว่าภาพแอบถ่ายรถที่ทำไม่เรียบร้อยจะเอามาวัดกับ Final Production ไม่ได้ มันก็กรณีเดียวกันกับ Nissan Navara NP-300 นั่นแหละ All New Triton คันนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร ตัวใหม่รหัส 4N15 ให้พลัง 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิด 430 นิวตัน/เมตร ที่ 2,500 รอบต่อนาที เรียกได้ว่าเครื่องเล็กลงแต่พละกำลังมากขึ้น และประหยัดขึ้น 20% ทั้งยังมีความคงทนแข็งแกร่งและน้ำหนักเบาเพราะใช้อลูมิเนียมอัลลอยในการทำเสื้อสูบ ฝาสูบ สำหรับระบบส่งกำลังมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด สำหรับรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตรใช้เครื่องยนต์รหัส 4G64 มีพละกำลัง 128 แรงม้าที่ 5,250 รอบต่อนาที แรงบิด 194 นิวตัน/เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด

ทาง Mitsubishi จะเปิดรับจองรุ่น Double Cab 4 ประตู ขับเคลื่อนสองล้อหลังและขับเคลื่อนสี่ล้อก่อน ในสนนราคาตั้งแต่ 791,000 ไปจนถึง 1,008,000 บาท ต่อจากนั้นจะออกรุ่น Mega Cab และ Single Cab ตามมาทีหลัง สำหรับรุ่น Single Cab ขับเคลื่อนสี่ล้อจะใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร รหัส 4D56 ตัวเดิมแต่เปลี่ยนแปลงรายละเอียดเล็กน้อย ให้แรงม้า 178 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิด 400 นิวตัน/เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที  เท่าเดิม แต่จะประหยัดน้ำมันมากขึ้น

All New Mitsubishi Triton มีอยู่ 7 สีให้เลือกคือ สีขาว, สีขาวมุก, สีดำ, สีเทาดำ, สีเขียว, สีน้ำตาล และ สีเงิน เปิดรับจองที่โชว์รูม Mitsubishi ทั่วประเทศตั้งแต่ 18 พฤศจิกายนนี้ เป็นต้นไป และจะเริ่มส่งมอบรถตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม เป็นต้นไป

Full Specification ข้อมูลสเป็คอย่างละเอียด
Options ข้อมูลอุปกรณ์มาตรฐาน

อ่านรีวิว เปรียบเทียบ All New Triton VS. Navara NP-300

มาแล้ววันนี้ เปิดตัวราคาและสเป็คของ Nissan X-Trail อย่างเป็นทางการ

Nissan X-Trail
ก็เป็นไปตามคาดว่าในประเทศไทยมีให้เลือกใช้เฉพาะเกียร์ CVT ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นเกียร์ธรรมดาอย่างที่ Indonesia มี หรือว่าเค้าสำรวจแล้วว่าคนไทยขับเกียร์กระปุกเป็นกันในอัตราที่น้อย คิดว่าไม่คุ้มกับการผลิต หรือว่าสาเหตุอื่น เช่นความสะดวกของบริษัทผู้ผลิตเอง เพราะแบบนี้นี่เองรถยนต์ในยุคปัจจุบันของบ้านเรามันถึงได้มีแต่รถที่น่าเบื่อ ไร้ศาสตร์และศิลป์แห่งการขับขี่ เป็นเพียงเครื่องมืออัตโนมัติทำงานคู่กับคอมพิวเตอร์สมองกลวงที่สั่งการช้าเป็นเต่าคลาน เอาล่ะบ่นมาเกือบห้าบรรทัดก็ไม่มีประโยชน์อะไรมาดูสเป็คและราคา Nissan X-Trail คันนี้กันดีกว่า
Nissan X-Trail เวอร์ชั่นไทยจัดมาให้เล่นกัน 4 รุ่นย่อย แบ่งเป็นรุ่นขับเคลื่อนสองล้อหน้า 2 รุ่น และรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อแบบพาร์ทไทม์ 2 รุ่น ซึ่งก็จะมีรุ่นท็อปพิกัดเบนซิน 2.5 ลิตรเท่านั้นที่มีพละกำลังมากสุด 171 แรงม้า นอกนั้นรุ่นอื่นๆ เป็นเบนซิน 2.0 ลิตร 144 แรงม้า จับคู่กับเกียร์ CVT พร้อมโหมดชิฟท์เกียร์ 7 จังหวะ ราคาเป็นไปดังนี้
2.0S CVT 2WD ราคา 1,172,000 บาท
2.0E CVT 2WD ราคา 1,246,000 บาท
2.0V CVT 4WD ราคา 1,325,000 บาท
2.5V CVT 4WD ราคา 1,551,000 บาท

ลองมาเปรียบเทียบกับ Honda CR-V กันหน่อย
Honda CRV 2.0S ราคา 1,200,000 บาท
Honda CRV 2.0E 4WD ราคา 1,325,000 บาท
Honda CRV 2.4EL ราคา 1,495,000 บาท
Honda CRV 2.4EL 4WD ราคา 1,580,000 บาท

นับว่า Nissan X-Trail รุ่นเริ่มต้นกับรุ่นท็อปจะถูกกว่า CR-V เล็กน้อยแต่ในรุ่นกลางๆ จะถูกกว่ามากโดยเฉพาะรุ่นรองท็อปที่ถูกกว่าถึง 170,000 บาท แต่นั่นเป็นเพราะ CR-V เป็นเครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร ถ้าจะเทียบกันจริงๆ แล้วรุ่น 2.0V 4WD ของ Nissan ควรจะเทียบกับ 2.0E 4WD ของ Honda ซึ่งผลออกมาก็คือราคาเท่ากันเป๊ะ 1,325,000 บาท แบบนี้คงจับคู่ Versus กันมันส์แน่ ต่อจากนี้ก็คงแล้วแต่ทุกท่านเองว่าชอบรถคันไหนมากกว่ากัน
Nissan X-Trail Full Specification
Nissan X-Trail Option
Nissan X-Trail Safety Equipment

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เปิดราคาและสเป็ค Honda HR-V แล้ววันนี้

Honda HR-V

ท้าย HR-V
Honda HR-V หรือที่วางขายในประเทศญี่ปุ่นในชื่อ Honda Vezel ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ววันนี้โดยมี 3 รุ่นย่อยให้เลือก ได้แก่
Honda HR-V S ราคา 890,000 บาท
Honda HR-V E ราคา 975,000 บาท
Honda HR-V EL ราคา 1,045,000 บาท
โดยสเป็คเครื่องยนต์จะเหมือนกันทุกรุ่นคือ เครื่องยนต์ SOHC i-Vtec 4 สูบ 16 วาล์ว 1.8 ลิตร ที่ยกมาจาก Honda Civic ให้แรงม้า 141 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิด 172 นิวตัน/เมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที รองรับ E85 ส่งกำลังผ่านเกียร์ CVT Earth Dream Technology ตัวเดียวกับที่ใช้ใน Honda CR-V ตัว Minorchange ภายนอกดูมาดสปอร์ตสวยงาม ใช้ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วทั้ง 3 รุ่น จับคู่กับยางขนาด 255/55 R17 ออปชั่นที่น่าสนใจ ได้แก่ เบรคมือไฟฟ้า และระบบ Automatic Brake Hold ที่จะหน่วงเบรคไว้โดยอัตโนมัติขณะที่รถหยุดนิ่งเพื่อไม่ให้รถไหลในขณะที่ผู้ขับปล่อยเท้าจากแป้นเบรค จึงไม่ต้องเหยียบเบรคค้างเวลาจอดรถติดไฟแดง ถุงลมนิรภัยคู่หน้าให้มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่น ทาง Honda Thailand ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องขายรถรุ่นนี้ให้ได้ 20,000 คันต่อปี ก็ต้องมาดูกันว่าจะขายดีเหมือนกับที่ญี่ปุ่นหรือไม่ ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่า HR-V นั้นดีหรือเปล่า แต่หากมีโอกาสคงได้รีวิวรถคันนี้ในอนาคต ซึ่งก็คาดว่าคงอีกไม่นาน เบื้องต้นเมื่อได้เห็นตัวจริงแล้วคิดว่าภายนอกดีไซน์ได้โฉบเฉี่ยวดีมีกลิ่นอายของ Honda Jazz เจือปนอยู่ เพราะมีพื้นฐานโครงสร้างร่วมกัน แต่ดูเป็น Sport CrossOver มากกว่าจะเป็น Hatchback อย่าง Jazz ในเรื่องของเกียร์คิดว่าควรมีเกียร์ธรรมดาให้เลือกเหมือนอย่างที่ Indonesia มี แต่คิดไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะมันออกมาอย่างนี้แล้ว ภายในเห็นแล้วไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่เพราะเพียงดูและสัมผัสก็รู้เลยว่าเป็นวัสดุราคาถูกอย่างพลาสติกเกรดต่ำ กับราคาที่แพงขนาดนี้ และรถก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมาย คงต้องแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคนเองว่าซื้อไปแล้วได้อะไร แต่หากสนใจก็ต้องลองขับดูก่อนจับอาการให้ละเอียด หากสมรรถนะดีและประหยัดน้ำมันแล้วล่ะก็มันจะกลบข้อเสียเรื่องวัสดุภายในลงไปจนหมดสิ้น ก็ต้องดูกันต่อไปยาวๆ ว่ารถคันนี้จะคู่ควรกับราคาที่ตั้งมา 8 แสนปลายๆ ถึงล้านต้นๆ หรือเปล่า อีกไม่นานก็คงรู้คำตอบ
FULL SPECIFICATION
OPTION DETAIL

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เปรียบเทียบ Volkswagen Tiguan 2.0 TDI VS. BMW X3 xDrive20d

ตอนแรกไม่แน่ใจว่าจะเอารถสองคันนี้มาเทียบกันดีรึเปล่าเพราะโดยพื้นฐานแล้ว Volkswagen Tiguan 2.0 TDI ราคา 2,970,000 บาท คันนี้ ควรเอาไปเทียบกับ BMW X1 sDrive20d xLine ราคา 2,799,000 บาท มากกว่า อย่างไรก็ตามผมรู้สึกว่า BMW X1 จะถูกพูดถึงโดยทั้งทางตรงและทางอ้อมมาก็เยอะแล้ว ตอนนี้จึงไม่อยากจะนำเสนอสิ่งที่มันซ้ำซาก เหมือนนิตยสารรถยนต์บางเจ้าที่แต่ละฉบับวนเวียนพูดถึงแต่รถคันเดิมๆ ซ้ำๆมันอยู่ตลอด ก็รู้อยู่ว่าคนส่วนใหญ่สนใจ แต่เอามาลงหลายฉบับติดต่อกันมันก็น่าเบื่อเกิน ตอนนี้จึงคิดว่าเอา Volkswagen Tiguan 2.0 TDI คันนี้ข้ามรุ่นไปเทียบกับ BMW X3 xDrive20d ราคา 3,299,000 บาท ดีกว่า จะได้ต่อเนื่องกับบล็อก Land Rover Freelander 2 ก่อนหน้านี้ด้วย

รูปลักษณ์ภายนอก
Volkswagen Tiguan
BMW X3
Volkswagen Tiguan ดูภายนอกก็ดูเป็นรถใช้งานธรรมดา แต่กระจังหน้ายังแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม พร้อมลุยได้ทุกเมื่อ ใช้ Platform ของ Volkswagen Group A5 (PQ35) จาก Volkswagen Golf เป็นพื้นฐาน และยังมีความเชื่อมโยงไปถึง Audi Q3 แบรนด์ใต้สังกัดอีกด้วย บางทีก็อาจจะบอกว่ามันเป็น Volkswagen Golf อัพไซส์เพิ่มขนาดเล่นกล้ามให้บึกขึ้นก็ได้ แต่ดีไซน์ภายนอกต่างจาก Volkswagen Golf ไปคนละทาง ไม่ใช่แค่สูงขึ้นและใหญ่ขึ้น แต่ดีไซน์เส้นสายดูแข็งแกร่งขึ้น และดูเรียบร้อยสะอาดตามากกว่า มิติตัวรถ ยาว*กว้าง*สูง เท่ากับ 4,427*1,809*1,686 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,604 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 1,655 กิโลกรัม

BMW X3 ใน Platform F25 ภายนอกถึงแม้จะถือว่าดูดีมีราคาก็เถอะ แต่ดีไซน์ออกจะน่าเบื่อไปหน่อย มันเหมือนๆ BMW X ทั้งหลายแหล่นั่นแหละไล่เรียงกันไป 1,3,4,5,6 ที่มีดีไซน์ต่างกันเพียงเล็กน้อยเพียงจุดเล็กๆ เท่านั้น แต่ที่ต่างกันมากๆจะเป็นสัดส่วนของรถมากกว่า จะว่าไปมันก็ง่ายดีเหมือนกันที่รถแต่ละรุ่นผลิตออกมาหน้าตาคล้ายๆ กันแบบนี้ เพียงแต่เปลี่ยนขนาดเท่านั้น ก็สามารถแบ่งราคาขายได้แตกต่างกัน (ยังไม่พูดถึงเครื่องยนต์และออปชั่นที่ต่างกัน) มิติตัวรถ ยาว*กว้าง*สูง เท่ากับ 4,648*1,881*1,675 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,810 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 1,800 กิโลกรัม

ภายใน
Volkswagen Tiguan ออกแบบจัดวางตำแหน่งอุปกรณ์ภายในรถได้ดีถูกต้องตรงตามหลักสรีระศาสตร์ พื้นที่ใช้สอยภายในสามารถปรับเปลี่ยนใช้งานได้หลายรูปแบบ แม้หน้าตาภายในจะดูเก่าไปบ้าง แต่สำหรับเรื่องเทคโนโลยีของอุปกรณ์ภายในถือว่าทันยุคทันสมัย ใช้ประโยชน์ได้เต็มประสิทธิภาพ รถคันนี้เป็นรถที่นั่งสบายที่สุดแล้วสำหรับรถในกลุ่มเดียวกัน
BMW X3 ภายในพยายามเพิ่มออปชั่นให้มากเข้าไว้แต่มันก็เป็นเพียงสิ่งที่ฉาบแค่เปลือกนอกใช้งานจริงๆ ก็ยังไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ ปุ่มอุปกรณ์ต่างๆ ยังคงจัดวางไว้ในตำแหน่งผิดที่ผิดทาง ไม่เว้นแม้กระทั่งส่วนสำคัญอย่างตำแหน่ง พวงมาลัย เบาะนั่ง เกียร์ คันเร่ง และแป้นเบรก ที่รู้สึกว่าการจัดวางตำแหน่งจะเพี้ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ส่งผลให้เกิดการเมื่อยล้าในการขับขี่ได้

เทียบกันแล้วถึงแม้ห้องโดยสารของ BMW X3 จะกว้างกว่าแต่การจัดสรรพื้นที่และการจัดวางอุปกรณ์มันยังดูแปลกๆ เลยไม่ทำให้รู้สึกว่าใช้งานง่าย หรือนั่งแล้วรู้สึกสบายเลย มันอาจจะรู้สึกสบายเมื่อเทียบกับรถในระดับที่ต่ำกว่า แต่เมื่อเทียบกับ Volkswagen Tiguan แล้ว ถือว่า BMW X3 ยังทำได้ไม่ดีพอ

สมรรถนะเครื่องยนต์ อัตราเร่ง
Volkswagen Tiguan ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบแถวเรียง 2.0 ลิตร ให้แรงม้า 140 แรงม้าที่ 4,200 รอบต่อนาที แรงบิด 320 นิวตัน/เมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที เมื่อจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ มันสามารถทำความเร็วจาก 0-100 ได้ใน 10.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 182 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราประหยัดน้ำมัน 17.24 กิโลเมตรต่อลิตร
BMW X3 ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร รหัส N47 ให้แรงม้าสูงสุด 184 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิด 380 นิวตัน/เมตร ที่ 1,750-2,750 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ใน 8.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราประหยัดน้ำมัน 16.49 กิโลเมตรต่อลิตร

การขับขี่ก็เป็นอย่างที่ตัวเลขมันบอก X3 ชนะขาดเป็นรถที่ให้อัตราเร่งได้มันส์มากเครื่องแรงประหยัดน้ำมัน ในด้านการทำความเร็วแล้ว X3 ทำได้ดีไม่มีที่ติ ดีกว่ารถ SUV ประเภทเดียวกันทุกรุ่นในระดับราคา 3-4 ล้านบาท ดีกว่า Range Rover Evoque ดีกว่า Freelander 2 ดีกว่า Volvo XC60 D4 และแน่นอนดีกว่า Volkswagen Tiguan คันนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถึงแม้ Volkswagen Tiguan จะอืดกว่าเยอะแต่ก็ให้อัตราประหยัดน้ำมันที่ดีกว่า เมื่อมองจุดนี้แล้วตามความตั้งใจในการผลิตรถยนต์เอนกประสงค์มันควรเน้นการใช้งานมากกว่าเรื่องของความเร็วและความสนุก ซึ่งอัตราเร่งและความเร็วของ Volkswagen Tiguan ก็เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันแล้ว ยิ่งบวกกับอัตราประหยัดน้ำมันที่ดีกว่าเช่นนี้แล้ว ขุมพลังของ Volkswagen Tiguan ก็ยังเป็นที่น่าสนใจอยู่

ช่วงล่าง การควบคุม
Volkswagen Tiguan ช่วงล่างดีไม่มีที่ติ มีความเฟิร์ม ไม่ย้วย ไม่กระด้าง นั่งแล้วรู้สึกสบาย เข้าโค้งได้นิ่งและมั่นคง พวงมาลัยเฟิร์มกำลังดี ลงตัวทั้งในการใช้งานย่านความเร็วต่ำและความเร็วสูง แถมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลาแบบ 4Motion ก็ลุยออฟโร้ดได้อย่างไม่ลำบากลำบนอะไรกับถนนลูกรังหรือลูกระนาดในชนบท การวิ่งบนไฮเวย์ควบคุมเสถียรภาพได้ดีเฉกเช่น Volkswagen Golf ซึ่งว่ากันว่าเป็นแฮทช์แบ็คที่มีแฮนด์ลิ่งที่ดีที่สุด Tiguan คันนี้ก็ทำได้ใกล้เคียงกับที่ Golf ทำได้ เพียงแต่ลักษณะการควบคุมของ Tiguan จะออกแนวรถ SUV ที่น้ำหนักมากและใหญ่กว่า แต่ก็ทำให้มันเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่งทางทุรกันดารไปด้วย ซึ่งการเซ็ตช่วงล่างรับมือกับถนนไม่ปกตินั้น Tiguan ทำได้ดีกว่า X3 ขั้นหนึ่ง ถึงแม้จะมี Platform จากรถแฮทช์แบ็คก็ตามและบุคลิกการขับบนถนนยางมะตอยก็คล้ายๆ แฮทช์แบ็ค แต่การรับมือถนนออฟโร้ดที่ไม่หนักมากก็ยังทำได้ดี

BMW X3 ก็ช่วงล่างดีเหมือนกัน ไม่ต้องไปสนใจโหมดการขับขี่ Normal, Sport, Sport+ เพราะเปลี่ยนไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมีความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเพียงการตอบสนองของรอบเครื่องในการเหยียบคันเร่งที่ดูแล้วไม่ว่าจะ Normal หรือ Sport ก็ไม่ต่างกัน ปรับไปโหมด Sport, Sport+ แล้ว พวงมาลัยจะหนืดขึ้นช่วงล่างกระด้างขึ้นนิดหน่อย แต่ไม่ได้ช่วยสมรรถนะการขับขี่ให้ดีขึ้นหรือแย่ลงแต่อย่างได้ มันส่งผลต่อความรู้สึกคนขับเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลต่อสมรรถนะจริงๆ ช่วงล่างของ X3 เพอร์เฟ็คมากในการวิ่งบนไฮเวย์ สามารถสาดยัดโค้งไปด้วยความเร็วสูงโดยไม่ต้องกลัวว่ามันจะเร็วเกินไปจนหลุดโค้ง เพราะถ้าจะหลุดเดี๋ยวระบบช่วยเหลือต่างๆ จะช่วยจัดการกับมันเอง มันเป็นรถที่วิ่งดีมากบนถนนลาดยางมะตอย แต่ถ้ามาถึงตรงนี้แล้วใครที่คิดจะเค้นความเร็วแบบสุดๆ กับรถคันนี้ขอให้ทำความเข้าใจกับอาการเหล่านี้ให้ดีก่อน หนึ่งพวงมาลัยของ X3 คันนี้ในช่วงความเร็วสูงๆ มันเบายังกับพวงมาลัยรถญี่ปุ่น สองตัวถังของรถรู้สึกจะจัดเรียงอากาศได้ไม่ค่อยดี ทำให้ไม่ค่อยสร้างแรงดาวน์ฟอร์สด้านหน้าซักเท่าไหร่ ทำให้รู้สึกต้านลมและมีอาการส่ายเมื่อใช้ความเร็วสูง ไม่ต่างจากรถญี่ปุ่นเลย ส่วนการขับทางออฟโร้ดระบบขับเคลื่อนสี่ล้อของมันวิ่งผ่านสิ่งกีดขวางได้ดีแต่ความรู้สึกในการผ่านของช่วงล่างมันไม่ดีเท่า Tiguan คันนี้เลย เรียกว่าช่วงล่างดีแต่กับทางปกติ แต่ถ้าขับออฟโร้ดแล้ว มันเป็นช่วงล่างที่ห่วยที่สุดไม่ว่าจะเทียบกับรถระดับเดียวกันหรือต่ำกว่า เมื่อวิ่งผ่านอุปสรรคแต่ละครั้งมันจะมีเสียงลั่นและอาการสั่นของชิ้นส่วนเป็นระยะๆ ถึงแม้จะบอกว่า X3 รุ่นปัจจุบันแก้เรื่องเหล่านี้หมดไปแล้วแต่มันหมดไปเฉพาะเมื่อขับบนทางที่ไม่ค่อยโหดเท่าไหร่ เจอเส้นทางโหดจริงๆ ก็บ้อท่า มีอาการต่างๆ นานา ให้ได้น่ารำคาญ สมรรถนะการลุยคงประมาณ Chevrolet Trailblazer 2.8 ลิตร 4WD แค่นั้นหล่ะมั้ง ถึงจะบอกว่ามีระบบนู่นนี่นั้น เทคโนโลยีขับเคลื่อนสี่ล้อก้าวหน้าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ขับจริงมันไม่รู้สึกก้าวหน้าอย่างที่เซลล์ BMW พรีเซ้นต์ให้ฟังหรอก ไม่เชื่อถ้าไม่เสียดายรถก็ไปลองเองเลย เลือกทางที่วิบากกันดารจริงๆ ด้วยล่ะ

อธิบายมาซะยาวเพียงอยากจะบอกว่าช่วงล่างและพวงมาลัยของ Volkswagen Tiguan ดีกว่า BMW X3 แค่นั้นเอง

สรุป
Volkswagen Tiguan มีความสามารถรอบด้าน ประยุกต์ใช้ได้หลายรูปแบบ ประหยัดน้ำมัน ช่วงล่างดี ข้อเสียเพียงอย่างเดียวจริงๆคือ เครื่องยนต์อืด นอกนั้นดีหมดทุกอย่าง
BMW X3 อัตราเร่งจัดจ้านสะใจ ถึงจะกินน้ำมันมากกว่า Tiguan แต่ตัวเลขอัตราประหยัดน้ำมันยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ให้สมรรถนะคุ้มค่ากับน้ำมันทุกหยด แต่ข้อเสียก็มีคือ การจัดวางตำแหน่งในห้องโดยสาร ฟีลลิ่งการขับในย่านความเร็วสูงไม่ต่างจากรถญี่ปุ่นเท่าไหร่ และยังเกิดความรู้สึกไม่ค่อยดีเมื่อขับเส้นทางออฟโร้ด
เมื่อเทียบสองคันนี้มันต่างกันแบบสุดขั้วไปเลยเทียบแล้วสิ่งที่ Tiguan ชนะดูจะมากกว่าสิ่งที่ X3 ชนะ แต่สิ่งที่ X3 ชนะเพียงอย่างเดียวคือสมรรถนะการทำความเร็วของเครื่องยนต์ก็ชนะไปแบบขาดลอยไปเลย การจะตัดสินแพ้ชนะจึงแล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล ซึ่งครั้งนี้ไม่ขอออกความเห็นส่วนตัว ให้ทุกท่านไปตัดสินกันเอาเองดีกว่า แต่ขอบอกอีกอย่างว่าถ้าคุณเป็นคนประเภทชอบขับรถแบบดิบเถื่อนชอบซัดกับอุปสรรคที่ขวางหน้าให้กระจุยจริงๆ แล้วล่ะก็ Land Rover Freelander 2 ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ยังไม่ควรตัดทิ้งไป

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Aston Martin DB9 สมรรถนะดีหรือเปล่า?

Aston Martin DB9 รถคู่กาย James Bond 007 เป็นรถรุ่นสืบทอดต่อจาก DB7 ตัวอักษรย่อ DB ย่อมาจาก David Brown เจ้าของผู้เป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์อันยาวนานของ Aston Martin ส่วนเหตุผลที่ไม่ตั้งชื่อว่า DB8 เรียงตามตัวเลขต่อจาก DB7 ก็เพราะ ทาง Aston Martin กลัวว่าจะเป็นการสื่อสารให้กลุ่มลูกค้าเข้าใจผิดว่ารถรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ V8 เพียงอย่างเดียว ทั้งที่มันมีเครื่องยนต์ V12 จึงตัดไปใช้ชื่อ DB9 แทนที่จะเป็น DB8 รถ Aston Martin ในตอนนี้ก็มีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยแล้ว โดยขายที่ราคา 18,500,000 บาท ดูซิว่าราคาขนาดนี้มันให้อะไรกับเราบ้าง

รูปลักษณ์ภายนอก
Aston Martin DB9

ท้าย DB9
เป็นดีไซน์ที่ลงตัว ได้สัดส่วนที่สวยงาม ซึ่งก็เป็นสิ่งที่นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ชื่นชม Aston Martin มาโดยตลอด งานดีไซน์มาจากมันสมองและสองมือของ Ian Cullum กับ Henrik Fisker ออกแบบโดยใช้พื้นฐานจากทฤษฎี Golden Ratio หรือเรียกอีกอย่างว่า Golden Section ซึ่งเป็นทฤษฎีที่มีต้นกำเนิดมายาวนานอย่างน้อย 2,400 ปี การสร้างวิหาร Parthenon ในยุคกรีกโบราณก็ใช้หลักการเดียวกัน แต่คนที่ให้คำจำกัดความของ Golden Ratio เป็นคนแรกก็คือ Euclid นักคณิตศาสตร์ชาวกรีก ซึ่งต่อมาก็ได้แตกแขนงเป็นหลักคณิตศาสตร์แบบต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น ทฤษฎีสามเหลี่ยม Pythagoras และยังเป็นทฤษฎีเดียวกันกับที่ใช้ในการวาดภาพ Monaliza ของ Leonardo da Vinci ซึ่งทฤษฎีนี้จะก่อให้เกิดสัดส่วนที่เหมาะสม หรือสัดส่วนทองคำนั่นเอง อธิบายมาจนตัวเองชักจะซาบซึ้งจนน้ำตาจะไหลแบบนี้ ก็เพื่อที่จะบอกว่าดีไซน์รูปทรงภายนอกของ Aston Martin DB9 มันมีที่มาที่ไปไม่ได้ทำขึ้นมาแบบลวกๆ นั่นเอง มิติตัวรถ กว้าง 2,061 มม. (รวมกระจกมองข้าง) ยาว 4,720 มม. (รวมแผ่นป้ายทะเบียนด้านหน้า) สูง 1,282 มม. ฐานล้อยาว 2,740 มม. น้ำหนักรถเปล่า 1,785 กิโลกรัม ด้านหน้าใช้ล้อขนาด 8.5j*20 นิ้ว จับคู่กับยาง Pirelli P Zero ขนาด 245/35 ZR20 ด้านหลังใช้ล้อขนาด 11j*20 นิ้ว จับคู่กับยาง Pirelli P Zero ขนาด 295/30 ZR20

ภายใน
ภายใน DB9
ดีไซน์ภายในหรูหราลงตัว อุปกรณ์ทุกชิ้นทำจากวัสดุชั้นดี เช่น พวงมาลัยและเบาะหุ้มหนังแท้ (ภายในมีวัสดุหุ้มหนังแท้หลายชิ้น เรียกว่าหุ้มหนังแท้แทบจะเต็มห้องโดยสารภายใน) คอนโซลหน้าทำจากกราไฟต์ ตกแต่งขอบตะเข็บและปุ่มใช้งานต่างๆ ด้วยสีเงิน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่เป็นจุดเด่นก็คือเบาะนั่งบันทึกความจำในการปรับระดับ เครื่องปรับอากาศพร้อมระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ เซ็นเซอร์ช่วยจอด ระบบตรวจความดันลมยาง ระบบเครื่องเสียง 700 Watt ระดับ Premium ของ Aston Martin (สำหรับ option เสริมสามารถเปลี่ยนไปใช้ระบบเครื่องเสียง 1,000 Watt ของ Bang&Olufsen ได้ แต่กับประเทศไทยไม่รู้ว่ามี option นี้ให้เลือกหรือเปล่า) ความรู้สึกในการนั่งรถคันนี้จะรู้สึกสบายกว่า Aston Martin V12 Vantage S เพราะรถคันนี้ออกแบบเพื่อเป็นรถ Grand Tourer จะลดอารมณ์สปอร์ตลงไปบ้าง เพื่อให้ขับทางไกลได้อย่างไม่เมื่อยล้า

สมรรถนะเครื่องยนต์และอัตราเร่ง
DB9 คันนี้ใช้เครื่องยนต์ AM11 V12 สูบ 5,935 ซีซี ให้แรงม้า 517 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 620 นิวตัน/เมตร ที่ 5,500 รอบต่อนาที เร่งความเร็วจาก 0-100 ได้ใน 4.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 295 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (น่าจะเป็นการล็อคความเร็วจำกัดไว้เท่านี้เพราะดูจากตัวเลขสมรรถนะเครื่องยนต์แล้วน่าจะทำถึง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้) เครื่องยนต์ที่ปรับปรุงใหม่ตั้งแต่ปี 2013 นี้ทำสมรรถนะได้ดีขึ้นหลังจากได้รับคำวิจารณ์ว่าเครื่องยนต์เดิมนั้นสมรรถนะแย่เกินไป สู้ Porsche 911 รุ่นล่างๆ ก็ไม่ได้ เมื่อเทียบกับคู่แข่งโดยตรงอย่าง Bentley Continental GT ก็สู้ไม่ได้เช่นกัน จึงเกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์ตัวนี้ขึ้น ซึ่งก็ทำให้อัตราเร่ง และความเร็วสูงสุดเป็นที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตามมันก็ทำสมรรถนะได้เพียงใกล้เคียงกับรถเครื่องยนต์ 8 สูบ อย่าง Bentley Continental GT V8S เท่านั้นเอง ทั้งๆที่เครื่องใหญ่กว่า แถมอัตราบริโภคน้ำมันก็กินอย่างดุเดือดถึง 15.67 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรหรือ 6.38 กิโลเมตรต่อลิตร โดยเฉลี่ย ก็นับว่าสมรรถนะดีขึ้นแต่ก็ไม่ได้เรียกว่าดีในระดับสุดยอด

แฮนด์ลิ่ง การควบคุม ช่วงล่าง
ในรถรุ่นที่เก่ากว่าปี 2013 นั้นได้รับคำวิจารณ์ว่าช่วงล่างนิ่มย้วยเกินไป การบังคับควบคุมก็ทำได้แย่ พวงมาลัยเบาเกินไปและไม่แม่นยำ ได้รับการจัดลำดับแฮนด์ลิ่งในรถกลุ่มเดียวกันว่าเป็นรถที่มีสมรรถนะการควบคุมเป็นอันดับรั้งท้าย และหลังจากได้รับคำวิจารณ์นี้ Aston Martin DB9 ก็ได้ปรับปรุงส่วนนี้ในปี 2013 เป็นต้นมา ทำให้มีแฮนด์ลิ่งที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามมันก็ยังไม่เฉียบคมเท่า Aston Martin V12 Vantage S บุคลิกของพวงมาลัยก็ยังถือว่าไม่ให้ความหนักแน่นเหมือนกับรถสปอร์ตคันอื่นๆ ทั้งนี้ที่ไม่เซ็ตพวงมาลัยให้หนัก ก็เพราะต้องการให้ผู้ขับขี่ไม่เมื่อยล้าเมื่อต้องควบคุมพวงมาลัยเป็นเวลานานๆ นั่นเอง สำหรับรุ่นนี้จะคิดถึงการขับในชีวิตประจำวันมากกว่าในเรื่องของความสนุก และความสปอร์ต แต่โดยรวมเรื่องช่วงล่างและการควบคุม ถึงแม้จะปรับปรุงแล้ว ก็ยังมีคนวิจารณ์ว่ามันยังทำได้ไม่ลงตัวเท่ากับ Bentley Continental GT อยู่ดี แม้แต่การใช้งานในชีวิตประจำวันก็ยังสู้ Bentley Continental GT ไม่ได้อีกเช่นกัน ทั้งความสะดวกสบาย ความประหยัดน้ำมัน บุคลิกช่วงล่างและพวงมาลัย ก็นับว่ายังไม่ขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ซักที

สรุป
ข้อดีของรถคันนี้คือการออกแบบภายนอกและภายใน ที่ละเอียดปราณีต มีความสวยงาม สมรรถนะเครื่องยนต์และช่วงล่างปรับปรุงให้ดีขึ้น แต่ข้อเสียของมันก็คือสมรรถนะความเร็ว และแฮนด์ลิ่ง ยังสู้กับคู่แข่งในระดับเดียวกันไม่ได้ แถมเปลืองน้ำมันมากกว่าเมื่อเทียบกับสมรรถนะที่ได้กลับคืนมา หากจะคิดให้ดีๆ แล้วเป็นรถที่ใช้งานไม่คุ้มค่าเอาซะเลย
Aston Martin DB9 ก็เหมือนกับรถทั่วไปที่มีอยู่สองด้านทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่โดยรวมแล้วมันก็ยังเป็นรถที่น่าปรารถนา และสร้างความประทับใจเมื่อแรกพบได้อย่างง่ายดาย ไม่แปลกใจเลยที่มันจะยังได้รับความนิยมจากสังคมไฮโซอย่างไม่เสื่อมคลาย

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Land Rover Freelander 2 เจ้าฮิปโปจอมลุย

Land Rover Freelander ออกวางขายมา 2 รุ่นแล้ว รุ่นแรกรู้สึกจะยังไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ แต่ด้วยราคาที่ถูกกว่ารถ Land Rover ทุกรุ่น ทำให้คนที่อยากได้รถยี่ห้อนี้ แต่ไม่มีปัญญาซื้อรุ่นที่แพงกว่า ก็หันมาซื้อรถรุ่นนี้กันบ้าง เพราะในตอนนั้น Freelander 1 มีราคาเริ่มต้นที่ 2.12 ล้านบาทเท่านั้น เพราะรุ่นนั้นมีผลิตโรงงานที่ระยองด้วย และตอนนั้น Land Rover ยังอยู่ในเครือ BMW อยู่ เห็นได้ชัดว่า Land Rover ต้องการให้รถรุ่นนี้อยู่ในระดับใกล้เคียงตลาดระดับ Mass มากขึ้น (เฉพาะประเทศไทย) แต่กับรุ่นนั้นมันก็ยังมีอะไรไม่ลงตัวมากมาย ทั้งสมรรถนะที่ด้อยกว่า และเปลืองน้ำมันกว่ารถในระดับราคาเดียวกัน อาการเบรกหัวทิ่ม และกระตุกเวลาถอนคันเร่ง รู้สึกว่า Land Rover เมื่ออยู่กับทั้ง Ford กับ BMW จะไม่ค่อยรุ่งเลย ทั้งคู่ได้แต่กอบโกยผลประโยชน์โดยอาศัย Land Rover ทำงานหนักให้ โดยสิ่งที่ Land Rover ได้มีเพียงเครื่องยนต์กากๆ ที่ BMW มอบให้ ถึงมันจะดีกว่าเครื่องยนต์ของ Land Rover เองก็เถอะ แต่เครื่องยนต์ M47R ดีเซล 2.0 ลิตร ที่ BMW ทำให้กับ Land Rover ไม่ได้นับว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ดีที่สุด เห็นได้จากการที่ BMW ไม่เคยนำเครื่องยนต์ตัวนี้ไปใช้กับ SUV ของตัวเองเลย แต่กลับใช้เครื่อง M47TUD20 และ M47TU2D20 กับ BMW X3 แทน จนปัจจุบัน BMW X3 ไปใช้เครื่อง N47 แล้ว นั่นแหละเครื่องที่ดีที่สุดมันต้องกั๊กไว้ให้ SUV ของ BMW เท่านั้น ซึ่งก็เป็นธรรมดาของวงจรธุรกิจ ใครมันจะอยากให้รถบริษัทลูกมาแข่งกันเองกับรถในบริษัทแม่ ก็ดีแล้วที่แยกทางกันซะได้แล้วออกรุ่น Freelander 2 มาตั้งแต่ปี 2006 โดยเจ้าของในตอนนั้นคือ Ford แล้วเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ Duratorq 2.2 ลิตร ก็นับว่าขจัดจุดอ่อนของ Freelander รุ่นเดิมไปจนหมดสิ้น แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่สำหรับภาพรวมของรถ Land Rover ต่อมา Ford จึงได้ขายให้กับ Tata Motors ของ India ในปี 2008 ซึ่งหลังจากมาอยู่กับ Tata แล้วรู้สึกอะไรๆ มันจะดีขึ้น สำหรับ Freelander 2 คันนี้ถึงแม้จะย้ายไปอยู่ Tata ก็ยังใช้ Platform และเครื่องยนต์จาก Ford อยู่เพราะ ตามสัญญา Tata มีสิทธิ์ใช้เครื่องยนต์ของ Ford ไปจนถึงปี 2019 และที่จะพูดถึงต่อจากนี้ก็คือ Land Rover Freelander 2 SD4 HSE ราคา 3,999,000 บาท เริ่มจาก
รูปลักษณ์ภายนอก
Land Rover Freelander 2
ท้าย Freelander 2
สร้างขึ้นจากพื้นฐานของ Ford EUCD Platform รถที่ใช้ Platform นี้ร่วมกันได้แก่ Ford Mondeo, Volvo XC60, Volvo S80, Jaguar X-Type และญาติสนิท Range Rover Evoque นั่นเอง แต่ Evoque ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง Platform ของ Ford ไปถึง 90% สำหรับ Freelander 2 มีมิติตัวถัง ยาว*กว้าง (พับกระจก)*สูง เท่ากับ 4,500*2,005*1,740 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,660 มิลลิเมตร อ็อปชั่นภายนอกก็มี กระจกกรองแสง ไฟหน้าแบบ Bi-Xenon ไฟโปรเจกเตอร์ ไฟส่องสว่างอัตโสมัติ ปัดน้ำฝนกระจกหน้าอัตโนมัติ ระบบควบคุมระยะการจอด หน้า-หลัง ล้อแม็ก 18 นิ้ว ดีไซน์ภายนอกออกแนวสมบุกสมบันมากกว่า Evoque แต่ก็ไม่ถึงกับลุยเต็มขั้นแบบ Land Rover Defender คือขับชิลๆ ในเมืองก็ยังมีความหรูความสำอางค์ให้เห็นอยู่ระดับหนึ่ง

ภายใน
ภายใน Freelander 2
ตกแต่งด้วยคุณภาพวัสดุที่อยู่ในเกณฑ์ดี แต่ปุ่มใช้งานบางอย่างดูค่อนข้างจะรกหูรกตาไปหน่อย เบาะนั่งนั่งสบายดี เข้า-ออก ห้องโดยสารได้อย่างสะดวก มีความโอ่โถงโปร่งสบาย ต่างจาก Freelander 1 ที่จะดูอึมครึมอึดอัด เรียกว่าออกแบบภายในได้ดีกว่ารุ่นเดิมมาก อ็อปชั่นภายในที่น่าสนใจได้แก่ กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ เบาะคนขับปรับสูงต่ำได้ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังปรับระดับได้ ระบบนำทาง แอร์อัตโนมัติพร้อมระบบกรองอากาศ แอร์ที่นั่งแถวหลัง กระจกนิรภัย เบาะหลังพับได้ ระบบ Cruise Control

สมรรถนะเครื่องยนต์และอัตราเร่ง
เครื่องยนต์ Duratorq 2.2 ลิตร SD4 ดีเซล ให้พละกำลัง 190 แรงม้าที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิด 420 นิวตัน/เมตร ที่ 1,750 รอบต่อนาที คล้ายกับที่ใช้ใน Evoque เครื่องยนต์ตัวนี้ส่ง Freelander 2 ที่มีน้ำหนัก 1,805 กิโลกรัม เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 9.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 14.29 กิโลเมตรต่อลิตร ถังน้ำมันความจุ 68 ลิตร ก็เพียงพอให้รถขับไปได้ไกล 971.72 กิโลเมตร อัตราการปล่อยไอเสียของรถคันนี้อยู่ที่ 185 กรัมต่อกิโลเมตร ถือว่าสมรรถนะดี อัตราประหยัดน้ำมันก็น่าพอใจ Freelander 1 เทียบไม่ติดเลย ถึงแม้มันจะช้าและเปลืองกว่า Evoque ก็ตาม แต่มันก็สมเหตุสมผลอยู่เพราะใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกันแต่ Freelander 2 น้ำหนักมากกว่า แต่การตอบสนองของคันเร่งและเกียร์ก็ดีและลื่นไหลพอๆ กับ Evoque ไม่เหมือนตอนอยู่กับค่าย BMW ที่ Freelander 1 ทั้งเกียร์และคันเร่งตอบสนองได้ห่วยแตก เรียกว่ารุ่นปัจจุบันต่างกับรุ่นก่อนหน้านี้ราวกับเทวทูตเทียบกับสัมภเวสีชั้นต่ำ

ช่วงล่าง ระบบรองรับ
นับเป็นจุดเด่นของรถคันนี้เลยก็ว่าได้ บอกได้เลยว่ามันลงตัวกว่า BMW X3  ช่วงล่างนิ่งสนิทไม่ว่าจะวิ่งแบบ on หรือ off road การเกาะถนนในการขับบนไฮเวย์ก็ทำได้ดีสามารถเข้าโค้งยาวๆ ด้วยความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างมั่นใจ แต่ยังไม่ตัวเบาพริ้วไหวเท่า Evoque ยิ่งไปวิ่ง off road ด้วยแล้วมันสามารถทุบ BMW X3 เละเป็นขี้ได้เลย เพราะเมื่อปรับโหมด off road วิ่งในทางทุรกันดารตามโขดหินหรือป่าเขาแล้ว มันสามารถแล่นไปได้อย่างชิลๆ เมื่อเจอลูกระนาด หรือก้อนหินก้อนเป้งๆ บนถนนลูกรัง มันก็ยังวิ่งผ่านได้แบบนิ่งๆ ไม่สะทกสะท้านเลย เรียกว่าขับ off road ได้เยี่ยมยิ่งกว่า Evoque ที่ปรับโหมด Terrain Response ขับแบบ off road แล้วยังมีกระเด้งอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังนับว่าน้อยมาก ซึ่งช่วงล่างสำหรับการขับ off road มันค่อนข้างจะปรับให้ลงตัวได้ยากกว่าขับถนนปกติ เพราะถ้าปรับผิดมันก็ส่งผลให้รู้สึกได้อย่างชัดเจน หากนิ่มไปมันก็เต้นย้วย หากกระด้างไปมันก็กระแทกกระทั้นจนกระเด้งได้ ตัวอย่างการปรับช่วงล่างที่ลงตัวสำหรับการขับ off road ก็คือ Freelander 2 คันนี้แหละ ที่ปรับจนไม่มีอาการเหล่านั้นเกิดขึ้นเลยไม่ว่าเส้นทางจะอุบาทว์อัปรีย์แค่ไหน ก็ไม่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อรถคันนี้เลย ระบบ Terrain Response ปรับการกระจายแรงบิดให้เหมาะสมกับสภาพพื้นถนน มีให้เลือก 3 แบบ Gravel ใช้ลุยไปบนกรวด Mud ใช้ลุยโคลน Sand ใช้ลุยทราย รู้สึกว่าโหมด Gravel จะขับได้มันส์สะใจที่สุดเมื่อขับบนถนนลูกรังแถบชนบท ช่วงโอเวอร์แฮงค์หน้าสั้นช่วยในการขับขึ้นลงเนินได้ง่าย มองเห็นสิ่งกีดขวางบนพื้นถนนใกล้ท้องรถได้ดี พวงมาลัยรู้สึกเบาเล็กน้อยแต่ไม่ทำให้รู้สึกเสียความมั่นใจยามใช้ความเร็วสูง

สรุป
ขับถนนลาดยางมะตอยได้ดีแต่ก็ยังไม่เท่า Evoque แต่ก็ชดเชยด้วยสมรรถนะการขับ Off Road ที่เหนือกว่า น่าเสียดายที่มันมีราคาแพงเกินไป ซึ่งในระดับราคาเดียวกันมีตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่ารออยู่มากมาย

แก้ไขปัญหาระบบไฟฟ้าใน Freelander 2: Land Rover Freelander 2 Wiring Diagram

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

รีวิว Isuzu MU-X 3.0 VGS DVD Navi 4WD

Isuzu ค่ายรถยนต์ค่ายนี้ไม่มีนโยบายให้สื่อมวลชนเข้าทดสอบรถจึงไม่ค่อยมีข้อมูลเรื่องอัตราเร่ง 0-100 และความเร็วสูงสุดเท่าไหร่ แต่ก็สามารถทราบได้จากผู้ใช้งานจริง ซึ่งก็มีกันอยู่เยอะแยะมากมาย ซึ่งบางคนก็บอกตรงๆ บางคนก็ขี้โม้ไปหน่อย อย่างการรีวิวครั้งนี้ต้นสายปลายเหตุก็มาจากเพื่อนคนหนึ่งซึ่งโม้ว่ารถ Isuzu MU-X รุ่นท็อป 3.0 4WD ของเขานั้นทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 8.9 วินาที โดยส่วนตัวเคยแอบเนียนไปทดลองขับ Isuzu MU-X ในฐานะลูกค้าอยู่หลายครั้งคิดว่าตัวเลขนี้มันเว่อร์เกินเหตุ แต่ที่ยังไม่เคยลองก็คือรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อนี่แหละเลยต้องจัดซะหน่อย และผลจะออกมาเป็นยังไงไปเริ่มจาก
รูปลักษณ์ภายนอก
Isuzu MU-X 3.0 4WD

ท้าย MU-X
รูปลักษณ์ภายนอกของรุ่นขับสี่ก็ไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่นต่างจากรุ่นขับสองเท่าไหร่ มีเพียงตัวอักษรบอกให้รู้เท่านั้นว่ารถคันนี้ขับเคลื่อนสี่ล้อ ถ้าเอาตัวอักษรออกนี่จะแยกกันไม่ค่อยได้เลยระหว่างรุ่นขับสองกับรุ่นขับสี่ ออปชั่นภายนอกที่โดดเด่นก็มีอุปกรณ์ตกแต่งกันชนหน้าหลังและบันไดข้าง กระจกมองข้างชุบโครเมียมพร้อมด้วยไฟเลี้ยวแบบ LED ล้อแม็ก 17 นิ้ว สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรคดวงที่สาม ไฟหน้าแบบ Projector ไฟตัดหมอก ราวหลังคา มีกล้องมองหลัง

ภายใน
ภายใน Isuzu MU-X
โทนสีภายในขึ้นอยู่กับสีภายนอกของตัวรถ ตกแต่งภายในแบบรถบ้านๆ ไม่ได้มีอะไรหรูหราเท่าไหร่ คุณภาพวัสดุที่ใช้จัดอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ ให้ผิวสัมผัสแบบสากๆ แต่สำหรับพื้นที่คนขับออกแบบมาได้ดีมากนั่งสบาย เบาะนั่งสามารถปรับระดับสูงต่ำได้ สัมผัสไม่ถึงกับนุ่มมากนักแต่ก็ไม่รู้สึกว่าแข็ง อุปกรณ์ภายในที่น่าสนใจก็มี ระบบนำทาง กระจกมองหลังตัดแสง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นพร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย มีช่องแอร์สำหรับที่นั่งแถวหลัง เบาะนั่งแถวที่ 2 พับได้ 60:40 แถวที่ 3 พับได้ 50:50

สมรรถนะเครื่องยนต์และอัตราเร่ง
ถือว่าเป็นไฮไลท์ของการรีวิวในครั้งนี้ เพราะอยากรู้ว่ามันจะทำได้ 8.9 วินาที ในการเร่ง 0-100 อย่างที่โม้ไว้รึเปล่า เครื่องยนต์ของรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นตัวเดียวกับที่ใช้ในรุ่น 3.0 ลิตร ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง ให้แรงม้า 177 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 380 นิวตัน/เมตร ที่ 1,800-2,800 รอบต่อนาที น้ำหนักเพิ่มขึ้นจากรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังเป็น 2,100 กิโลกรัม หนักกว่าร่วม 100 กิโลกรัม แต่จะออกตัวดีกว่าถ้าปรับระบบขับเคลื่อนไปที่ 4H เพราะ MU-X รุ่นขับเคลื่อนล้อหลังถ้าเหยียบจมล้อหลังจะมีการหมุนฟรีทำให้เสียระยะไป ระบบ TCS ป้องกันล้อหมุนฟรีของมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยเหมือนมีไว้ทำเท่ห์เท่านั้นหรืออาจจะเป็นเพราะรุนแรงกับคันเร่งมากเกินไปคือมาถึงก็เหยียบลงไปแบบ 100% เลย จึงเปลี่ยนมาค่อยๆ เหยียบคันเร่งให้มันไต่ระดับความเร็วไปตามปกติจึงทำให้ได้ตัวเลข 11 วินาที รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อปรับระบบไปที่ 4H จะถ่ายพละกำลังจากล้อสู่พื้นได้ดีกว่าแต่อย่างไรก็ตามมันทำได้ไม่ถึง 8.9 วินาทีหรอกถ้าจับเวลาแบบไม่ลำเอียงจะได้ที่ 10.2 วินาที ให้เจ้าตัวมาขับเองก็ทำได้ประมาณนี้ ซึ่งถือว่าเร็วที่สุดในรถตลาดกลุ่มเดียวกันแล้วในตอนนี้ ออกตัวเร็วกว่า Fortuner 4WD ซะอีก แต่ความรู้สึกมันจะอืดกว่าเพราะคันเร่งของ MU-X มันจะหน่วงกว่า ซึ่งถ้าเป็นช่วงความเร็วต้นสุดๆ ไปเลยอย่าง 0-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คงเป็น Fortuner ที่ทำได้ดีกว่า น่าเสียดายที่ไม่ได้ลองจับ Drag 1,000 เมตรแข่งกันว่าใครจะเร็วกว่า อัตราเร่งยืดหยุ่น 80-120 Isuzu MU-X 3.0 4WD ทำได้ 8.7 วินาที เร็วกว่าทั้ง Pajero Sport กับ Fortuner รุ่นขับสี่ ส่วนความเร็วสูงสุดที่ทำได้คือ 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่แน่ใจว่า Isuzu ล็อคจำกัดความเร็วรถไว้ที่ 185 รึเปล่า เพราะก่อนถึง 185 มันก็ไหลขึ้นไปดีอยู่แต่จู่ๆ พอมาถึง 185 ก็ตันไปดื้อๆ สุดที่เท่านี้ เป็นแบบนี้กับรุ่นขับสองล้อหลังเหมือนกัน หรือเป็นเพราะสุดลิมิตเครื่องยนต์จริงๆ แต่ก็ไม่ลองต่อแล้วเพราะเจ้าตัวกลัวรถจะพังคาตีนไปซะก่อน ซึ่งสมรรถนะเพียงเท่านี้ก็บอกได้ว่าเยี่ยมแล้ว ส่วนอัตราประหยัดน้ำมันนั่งรถ 2 คน เปิดแอร์ เปิดวิทยุ ขับที่ช่วงความเร็ว 80-110 กิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยโหมดขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง 2H ทำได้ 12.195 กิโลเมตรต่อลิตร ก็อยู่ในระดับของ PPV ทั่วไป

ช่วงล่าง ระบบรองรับ
ช่วงล่างเซ็ตมาให้นุ่มนั่งสบาย ซึ่งถ้าเป็นผู้โดยสารก็คงจะชอบ พวงมาลัยตอบสนองดี น้ำหนักดี สัมพันธ์กับความเร็ว จะคล้ายกับพวงมาลัยของ Chevrolet Trailblazer แต่เบากว่านิดหน่อย สำหรับความย้วยที่เกิดขึ้นกับรุ่นขับหลัง พอมาเป็นรุ่นขับสี่มันมีมาให้ได้สัมผัสน้อยลง การเกาะถนนของช่วงล่าง ไหนๆก็มีระบบขับสี่ Part-Time ให้ใช้กันอยู่แล้วก็ใช้มันซะให้คุ้ม เพราะถ้าปรับระบบขับเคลื่อนไปที่ 4H มันจะเกาะถนนและหนึบแน่นกว่ามาก สำหรับรถคันนี้ถ้าต้องการความหนึบควรจะปรับไปที่ขับสี่ 4H ไม่ว่าถนนจะแห้งหรือจะเปียกก็ตาม ไม่ต้องไปใช้ 2H ถ้าขับรถเร็วเพราะมันไม่ให้ความรู้สึกว่าเกาะถนนดีซักเท่าไหร่ การใช้ระบบขับสี่อาจจะทำให้เปลืองน้ำมันขึ้นเล็กน้อย แต่ก็มั่นใจกว่าในยามใช้ความเร็วสูง ยางมาตรฐานจากโรงงานขนาด 255/65 R17 ก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีเสียงจากการเสียดสีกับพื้นถนนไม่ดังมากจนเกินไป ขึ้นอยู่กับว่าต้องการใช้งานแบบไหนถ้าต้องการให้รีดน้ำได้ดีก็เติมลมให้แข็งกว่าปกติเล็กน้อย สำหรับการใช้งานแล้วยางเส้นนี้ไม่ส่งผลต่อสมรรถนะเท่าไหร่ และคิดว่าล้อและยางจากโรงงานก็ลงตัวดีอยู่แล้ว ถ้าอยากจะเปลี่ยน ก็เปลี่ยนแค่ยี่ห้อที่ใช้แต่ไม่เปลี่ยนขนาดจะดีกว่า เห็นบางคนไปเปลี่ยนล้อเปลี่ยนยางใหญ่ขึ้นเสียตังค์เป็นหลักหมื่น แล้วส่งผลสมรรถนะแย่ลง กินน้ำมันมากขึ้น แถมทำเข็มไมล์เพี้ยน นี่มันน่าตลกเป็นบ้า คือทำแค่ให้มันเท่ห์ แต่ใช้งานใช้การจริง ไม่มีประโยชน์ ไร้แก่นสารแบบสุดๆ ที่ถูกต้องคือการเปลี่ยนอะไหล่หลายๆ ชิ้นมันต้องเริ่มขึ้นจาก สมรรถนะเครื่องยนต์ที่เปลี่ยนแปลงไปถึงต้องขยับอะไหล่ส่วนต่างๆ ให้รองรับกับสมรรถนะที่เพิ่มขึ้น แต่บางคนก็มองข้ามจุดนี้ไปอย่างไม่น่าให้อภัย ซึ่งถ้ามีลูกมีหลานเอาเงินไปแต่งแบบไร้ประโยชน์แบบนี้ ผมคงด่ากราดไปแล้ว แต่งรถทั้งทีควรแต่งให้สมรรถนะมันดีขึ้นคุ้มกับเงินที่เสียไปซะบ้าง เสียตังค์หลักหมื่นแรงม้าไม่เพิ่มก็อย่าทำซะจะดีกว่า ถ้าแค่อยากจะเท่ห์ให้คนอื่นหันมามอง คนอื่นที่ว่ามันก็ไม่ได้เป็นคนที่ให้ตังค์คุณใช้ ให้ข้าวคุณกินซะหน่อย ไม่ได้มีผลประโยชน์และความคุ้มค่าใดๆ เลย พอกันทีบ่นมาซะเยอะต้องขอโทษด้วย ขอจบด้วยการสรุปเลยละกัน

สรุป
รุ่น 3.0 ลิตรขับเคลื่อนสี่ล้อเป็น MU-X รุ่นที่ลงตัวที่สุดแล้ว อัตราเร่ง 0-100 น่าจะดีที่สุดในตลาด ถ้าไม่มีรถรุ่นใหม่หรือ Minorchange จากบางค่ายออกมาในช่วงนี้ ช่วงล่างจะเกาะถนนดีหนึบแน่นเมื่อใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น อัตราประหยัดน้ำมัน และการใช้งานทั่วไป อยู่ในระดับ Average คือ ไม่ดีไม่แย่ อยู่ในระดับปานกลาง ก็ยังเป็นรถที่น่าซื้อหามาใช้อยู่ อีกอย่างคือรถคันที่ลองเป็นรถล็อตเก่าปี 2013 ราคาจะถูกกว่าที่ 1,389,000 บาท ส่วนล็อตใหม่ปี 2014 มีราคาแพงกว่าที่ 1,419,000 บาท ซึ่งรายละเอียดหลักๆ ก็เหมือนเดิม กับล็อตปี 2013 ทุกอย่าง ที่ไม่เหมือนก็คงเป็นรายละเอียดปลีกย่อยอีกเพียงเล็กน้อย และเป็นรถที่ผลิตทีหลังเท่านั้นจึงมีราคาแพงกว่า เพราะมันสดใหม่ออกจากสายพาน กินกันร้อนๆ หอมกรุ่น ตอนออกจากเตา (ไม่ใช่ละ LoL) ก็คือซื้อตอนนี้ราคาป้ายแดงมันก็อยู่ที่ 1,419,000 บาท นี่แหละ ไม่มี 1,389,000 บาท อย่างเมื่อก่อนแล้ว อยากซื้อก็ไปถามรายละเอียดจากเซลล์ Isuzu เลย จะได้ข้อมูลที่อัปเดตมากกว่า

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Honda CRV Minorchange 2014 มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง?

มาเร็วกว่าที่คิดสำหรับ Minorchange ของ Honda CRV ที่ตอนแรกคิดว่าจะมาในปี 2015 แต่จู่ๆ รถคันนี้ก็ชิงเปิดตัวออกมาไม่มีปี่มีขลุ่ย ในปลายปี 2014 นี่เอง คงต้องการจะหยุดความร้อนแรงของ Mazda CX5 กับ Subaru XV ที่หมู่นี้คนพูดถึงกันเยอะเหลือเกิน Honda จึงต้องออกมาประกาศศักดากับ CRV รุ่น Minorchange นี่ซะหน่อย อีกประการหนึ่งก็เพื่อเป็นการรับขวัญน้องใหม่ All New Nissan X-Trail ที่กำลังจะเปิดตัวในไทยเร็วๆ นี้ Honda CRV Minorchange 2014 นี้ เปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นก่อนหน้านี้ยังไง และมีอะไรน่าสนใจบ้าง มาเริ่มที่

รูปลักษณ์ภายนอก
Honda CRV Minorchange 2014
ท้าย Honda CRV
แน่นอนกระจังหน้าเปลี่ยนไปใช้อีกรูปแบบหนึ่งซึ่งยังเหลือเค้าโครงของ CRV ตัวเดิมอยู่ เอามาจาก CRV เวอร์ชั่นยุโรป ดีไซน์ล้ออัลลอยเอามาจาก CRV เวอร์ชั่นอเมริกา มีแถบโครเมี่ยมระหว่างใต้โลโก้ Honda เหนือตำแหน่งติดป้ายทะเบียน กันชนท้ายเพิ่มรายละเอียดให้ดูสมบุกสมบันยิ่งขึ้น เพิ่มไฟ Daylight LED และยังใช้ไฟหน้า Projector สำหรับรุ่น 2.4 ลิตร สำหรับไฟตัดหมอกคู่หน้ากรอบโครเมี่ยม จะไม่มีมาให้ในรุ่นล่างสุด CRV 2.0S และในรุ่น 2.0 ลิตร จะใช้ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ส่วนรุ่น 2.4 ลิตร จะใช้ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว

ออปชั่นภายใน
ภายในคล้ายกับ Version นอกที่แสดงในภาพ
เพิ่มระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda Lanewatch) แต่ออปชั่นนี้มีให้เฉพาะรุ่นท็อป EL 4WD มีม่านถุงลมด้านข้างและถุงลมด้านข้างคู่หน้าอัจฉริยะเพิ่มขึ้นมาจาก CRV รุ่นเดิมที่ไม่มี และก็น่าดีใจที่มันเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่มีมาให้ทุกรุ่นย่อยแม้กระทั่งรุ่นล่างสุด 2.0S ก็ยังมี กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ มีให้ทุกรุ่นยกเว้นรุ่น 2.0S ระบบเครื่องเสียงเพิ่มหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้วแบบ Advance Touch พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง แน่นอนว่ารุ่น 2.0S เพียงรุ่นเดียวที่ไม่มีระบบนี้ เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางมีมาให้ทุกรุ่น เบาะหลังพับจังหวะเดียวแบบ One Motion พร้อมแยกพับแบบ 60:40 มีมาให้ทุกรุ่น นอกนั้นก็ระบบควบคุมความปลอดภัยแบบเดิมๆ เช่น ระบบช่วยควบคุมการทรงตัว ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ระบบไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหัน

เครื่องยนต์
สำหรับในรุ่น 2.0 ลิตร ยังเป็นเครื่องยนต์บล็อกเดิม R20A 4 สูบ ที่ให้แรงม้า 155 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิด 190 นิวตัน/เมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที เช่นเดิม ดังนั้นไม่ต้องไปหวังว่ารุ่น 2.0 ลิตร Minorchange นี้จะไปแรงเทียบกับ Mazda CX5
แต่สำหรับรุ่น 2.4 ลิตรได้ปรับปรุงเครื่องยนต์ใหม่ ภายใต้ Earth Dream Technology มีแรงม้าเพิ่มขึ้นจากเดิม 170 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที เป็น 175 แรงม้าที่ 6,200 รอบต่อนาที และแรงบิดเพิ่มจากเดิม 220 นิวตัน/เมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที เป็น 225 นิวตัน/เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที คาดว่าน่าจะทำให้รถออกตัวได้ดีกว่าเดิม และอัตราเร่งในรอบสูงหรือความเร็วปลายน่าจะดีกว่าเดิม เครื่องยนต์ตัวนี้จะจับคู่กับเกียร์ CVT ตัวใหม่ คาดว่าน่าจะทำให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่าเก่าพอสมควร

สรุป
รุ่น 2.0 ลิตร สมรรถนะยังเหมือนเดิม แต่เพิ่มออปชั่นอำนวยความสะดวก และออปชั่นความปลอดภัยขึ้นมาเล็กน้อย สำหรับรุ่น 2.0S ได้ถุงลมนิรภัยด้านข้างและม่านถุงลมนิรภัยเพิ่มขึ้นมาก็ถือว่าคุ้มแล้ว สำหรับรุ่น 2.0E 4WD ได้ออปชั่นเกือบจะเหมือนรุ่น 2.4 ลิตรทุกอย่าง มีอุปกรณ์สองสามอย่างเท่านั้นที่ขาดไป ส่วนรุ่น 2.4EL และ 2.4EL 4WD ออปชั่นทุกอย่างเหมือนกันหมดต่างกันแค่ 2.4EL ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า แต่ 2.4EL 4WD มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ถ้าหากจะซื้อควรศึกษารายละเอียดออปชั่น ราคาและโปรโมชั่นของแต่ละรุ่นให้ดีๆ โดยทั้ง 4 รุ่นย่อย มีราคาดังนี้

Honda CRV 2.0S ราคา 1,200,000 บาท
Honda CRV 2.0E 4WD ราคา 1,325,000 บาท
Honda CRV 2.4EL ราคา 1,495,000 บาท
Honda CRV 2.4EL 4WD ราคา 1,580,000 บาท

ดู SPEC อย่างละเอียด
ดู OPTION หรืออุปกรณ์เสริม

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

รีวิว Hyundai H1 รถตู้ MPV ไซส์ใหญ่

ทุกวันนี้ก็แปลกใจเหมือนกันเวลาขับรถตามถนนไฮเวย์ต่างจังหวัด จะพบกับรถตู้ Hyundai H1 อยู่บ่อยๆ ซึ่งพอเห็นรูปทรงภายนอก ก็แบบว่าเออมันใหญ่ดี แต่นอกจากใหญ่แล้วมันมีดีอะไร ทำไมคนถึงซื้อใช้กันเยอะเหลือเกินเพราะอะไร ต้องมาหาคำตอบกัน

รูปลักษณ์ภายนอก
Hyundai H1
ท้าย Hyundai H1
ภายนอกดูเรียบหรูภูมิฐาน สวยไม่สวยแล้วแต่คนจะมอง ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วคิดว่า Hyundai H1 มีดีไซน์ภายนอกที่ดูลงตัว สามารถสร้างบรรยากาศแบบรถหรูได้ ซึ่งคนที่ไม่รู้ราคาเห็นรูปร่างภายนอกของรถคันนี้แล้ว ก็อาจจะคิดว่าเป็นรถหรูราคาแพงเทียบชั้นกับ Volkswagen Caravelle เพราะรูปร่างที่ใหญ่โตโอ่โถงของมันนี่แหละ ขนาดตัวรถ ยาว*กว้าง*สูง เท่ากับ 5,125*1,920*1,925 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 3,200 มิลลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถ 190 มิลลิเมตร สีดำหรือสีขาวสวยกว่าไม่รู้ แต่รู้สึกว่าคนจะนิยมสีดำมากกว่า

ภายใน
ภายใน Hyundai H1
ภายในกว้างขวางดี เบาะนั่งนุ่มนั่งสบาย ให้สัมผัสที่อ่อนโยนโอบกระชับ สำหรับที่นั่งคนขับ ส่วนที่นั่งผู้โดยสารมีบางคนบ่นว่านั่งไม่สบาย แต่สำหรับตัวผมเองคิดว่านั่งสบายดีอยู่ไม่มีปัญหาอะไร H1 ในเวอร์ชั่นปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงคือรื้อคอนโซลที่คั่นระหว่างเบาะนั่งคนขับตอนหน้ากับผู้โดยสารออก ทำให้มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นกว่าเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ แต่ข้อเสียก็คือรื้ออุปกรณ์อำนวยความสะดวกและให้ความบันเทิงบางอย่างออกไปด้วย

สมรรถนะเครื่องยนต์อัตราเร่ง
Hyundai H1 ใช้เครื่องยนต์อยู่ 2 แบบ คือ ดีเซล 2.5 ลิตร แถมมีเทอร์โบแต่กลับทำแรงม้าได้เพียง 136 แรงม้า ที่ 3,800 รอบต่อนาที แรงบิด 343 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที สำหรับรุ่นล่างสุดที่ใช้เกียร์ธรรมดา และ 2.5 ลิตร ดีเซลเทอร์โบแปรผัน 175 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 441 นิวตัน/เมตร ที่ 2,000-2,250 รอบต่อนาที สำหรับรุ่นท็อปกับรุ่นรองท็อปเกียร์อัตโนมัติ สำหรับอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงรุ่นเกียร์อัตโนมัติทำได้ 14.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อืดมากคงเป็นเพราะน้ำหนักรถที่มากถึง 2,265 กิโลกรัม นี่ขนาดนั่งขับคนเดียวนะเนี่ยแล้วคิดดูถ้าบรรทุกผู้โดยสารเต็มคันรถจะอืดขนาดไหน ส่วนรุ่นเกียร์ธรรมดาไม่เคยลองแต่ผลออกมาก็น่าจะอืดพอกันเผลอๆอาจจะอืดยิ่งกว่าเพราะรถก็มีน้ำหนักถึง 2,250 กิโลกรัม แถมแรงม้าแรงบิดน้อยกว่ากันเยอะ เมื่อเทียบแรงม้าแรงบิดต่อน้ำหนักจะได้ 60.4 แรงม้าต่อตันและ 152.4 นิวตัน/เมตร ต่อตัน ด้อยกว่ารุ่น 175 แรงม้าที่เมื่อเทียบแรงม้าแรงบิดต่อน้ำหนักจะได้ 77.26 แรงม้าต่อตัน และ 194.7 นิวตัน/เมตร ต่อตัน ขับจริงยังไงมันก็อืดทั้งคู่ แต่ก็ยังมีคนบอกว่าแรงอยู่ อัตราประหยัดน้ำมันก็ห่วยแตก 9.7 กิโลเมตรต่อลิตร ช้าไม่พอแถมเปลืองน้ำมันอีกต่างหาก ทำไมบางคนถึงบอกว่า Hyundai H1 ประหยัดน้ำมันอีก สรุปที่ฟังมาจากคนอื่นว่า Hyundai H1 แรงและประหยัดน้ำมันเนี่ยไม่จริงเลยใช่ไหม แต่ไม่แน่รุ่นเกียร์ธรรมดาอาจจะประหยัดกว่านี้นิดหน่อยก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะกินยิ่งกว่าเพราะปัจจัยแรงม้าแรงบิดต่อน้ำหนักที่ด้อยกว่า อย่างไรก็ตามความจุถังน้ำมันที่ใหญ่ถึง 75 ลิตร ทำให้วิ่งได้ไกลหน่อยที่ 727.5 กิโลเมตรเมื่อเติมน้ำมันเต็มถังสำหรับรุ่นเกียร์ออโต้ (รุ่นเกียร์ธรรมดาก็ 75 ลิตรเท่ากันแต่ไม่รู้อัตราประหยัดน้ำมัน)

ช่วงล่างหรือระบบรองรับ
ด้านหน้าเป็นแบบ MacPherson Struts ด้านหลังเป็นแบบ 5-Link Rigid Axle พร้อมด้วยระบบเบรกหน้าดิสก์หลังดรัมสำหรับรุ่นเกียร์ธรรมดา และหน้าดิสก์หลังดิสก์สำหรับรุ่นเกียร์ออโต้ ซึ่งบอกได้เลยว่าช่วงล่างแข็งกระด้าง เต้น และไม่หนึบอีกต่างหาก แถมเมื่อรองรับกับตัวถังที่ใหญ่และน้ำหนักมากมันยิ่งส่งผลให้รถวิ่งไม่มั่นคงไปใหญ่ ทำไมเท่าที่ฟังมาคนทั่วไปบอก Hyundai H1 ช่วงล่างดีอีกแล้ว หรือเพราะไม่ตั้งสมาธิจับสัมผัสจริงๆ จึงไม่รู้ว่ามีการสั่น โคลง ของตัวถังเกิดขึ้น ขอเตือนเลยว่าถ้าขับรถรุ่นนี้อยู่อย่าอัดโค้งแรงๆ เด็ดขาด ซึ่งเท่าที่ผ่านมาก็ไม่เคยเห็นใครทำแบบนั้นกับรถคันนี้ ดีไม่ดีช่วงล่างอาจจะแย่ยิ่งกว่า Toyota Hiace Commuter ซะอีก แต่สำหรับระบบเบรกถือว่าหนึบแน่นมั่นใจได้สามารถเอาอยู่ไม่ว่าจะสถานะการณ์ปกติ หรือสถานะการณ์คับขัน น้ำหนักและความลึกของแป้นเบรกค่อนข้างลงตัว พวงมาลัยปรับเซ็ตน้ำหนักมาได้ดีเบาและควบคุมง่ายในช่วงความเร็วต่ำ หนืดมีน้ำหนักเมื่อใช้ความเร็วสูง และรัศมีวงเลี้ยวที่แคบ 5.6 เมตร ทำให้มีความคล่องตัวเมื่อใช้งานในเมือง

สรุป
รถมีดีที่ความกว้างขวางนั่งสบาย ดีไซน์ภายนอกและภายในดูดีมีชาติตระกูล มีพื้นที่ใช้สอยให้ใช้อย่างเอนกประสงค์ ถ้าต้องเดินทางโดยมีผู้โดยสารพร้อมกับสัมภาระเยอะๆ จะเป็นรถที่ใช้งานได้อย่างคุ้มค่า แต่ข้อเสียก็คืออัตราเร่ง อัตราประหยัดน้ำมัน และช่วงล่าง ที่ทำได้ค่อนข้างแย่ แต่การปรับเซ็ตพวงมาลัยและเบรกที่ลงตัวก็พอจะชดเชยจุดด้อยของช่วงล่างและการควบคุมได้บ้าง
ถ้ารับได้กับข้อดีข้อเสียเหล่านี้ Hyundai H1 ก็มีอยู่ 3 รุ่นย่อยให้เลือก คือ
Hyundai H1 Touring ราคา 1,099,000 บาท
Hyundai H1 Executive ราคา 1,489,000 บาท
Hyundai H1 Deluxe ราคา 1,599,000 บาท
บอกเลยว่ารุ่น Touring ออปชั่นโกร๋นมากไม่มี_่าอะไรเลย ในเรื่องขาดอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายกับสิ่งให้ความบันเทิงยังพอว่า แต่ดันไม่มีถุงลมนิรภัยกับเบรก ABS มาให้นี่มันออกจะเกินไปหน่อยกับรถราคาเป็นล้าน แต่ออปชั่นความปลอดภัยยังเทียบรถราคา 7-8 แสนยังไม่ได้

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

รีวิว Toyota Harrier (XU60) Gen.3

Toyota Harrier Generation ที่ 3 นี้ออกวางตลาดในบ้านเรามาได้ปีสองปีกว่าแล้วโดยผู้นำเข้าอิสระ โดยที่ Gen.3 นี้ Toyota Harrier เพิ่งจะมีตัวตนเป็นของตัวเองเป็นครั้งแรก โดย 2 รุ่นก่อนหน้า มันเป็นการเอา Lexus RX มาแปะโลโก้ Toyota ทำเป็น Toyota Harrier แล้วขายในราคาถูกลงนั่นเอง โดยที่สเป็กเครื่องยนต์ และออปชั่นต่างๆ เหมือนกันเป๊ะ แล้วแบบนี้มันจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องซื้อ Lexus ที่สิ่งที่จะได้กลับมามันก็แค่การได้ชื่อว่าซื้อรถแบรนด์หรูซึ่งหาผลประโยชน์ทางเศรษฐศาสตร์ไม่ได้เลย 2 รุ่นก่อนหน้า คนก็เลยนิยมซื้อ Harrier มาแปะตราของ Lexus กันยกใหญ่ ดูไม่ออกเลยอันไหน Lexus RX จริง หรืออันไหน Toyota Harrier แปะตรา แต่จะจริงหรือแปะ มันก็รถคันเดียวกัน ซึ่งครั้งนี้ผมชื่นชมคนที่ซื้อรถมาแปะตรามากกว่าเพราะว่าซื้อรถมาในราคาถูกแต่ได้คุณภาพเท่าๆ กัน ก็อย่างว่าในเมื่อทุกอย่างมันเหมือนกันจะจ่ายแพงกว่าไปซื้อ Lexus ตัวจริงมันทำไม จริงๆ Lexus RX (3.94-7.09 ล้านบาท) มันก็ราคาแพงเกินคุณภาพที่แท้จริงอยู่แล้ว ราคาต้องอยู่ในระดับ Toyota Harrier ต่างหากถึงจะเหมาะสม เพราะราคาที่แพงเวอร์มันเป็นสาเหตุมาจากตรา Lexus แค่นั้นเอง แต่ก็ดีแล้วที่แยกรถทั้งสองคันนี้ออกจากกันไปซะที ไม่งั้นมันก็กินกันเองอยู่แบบนี้ จริงๆ ตัวแทนจำหน่าย Toyota ไม่นำเข้ามาหรอกไอ้ Toyota Harrier เนี่ย เพราะก็กลัวว่ามันจะไปทับกับ Lexus RX นี่แหละ ต้องขอบคุณผู้นำเข้าอิสระจริงๆ ที่ทำให้ได้ใช้รถแบบเดียวกันในราคาที่ถูกกว่า เอาล่ะเรามาดูเจ้า Harrier Gen.3 นี้ดีกว่าว่ามันมีอะไรบ้าง

รูปลักษณ์ภายนอก
Toyota Harrier

ท้าย Toyota Harrier
เส้นสายมีความโค้งมนและมีเหลี่ยมสันที่ลงตัว ดูหรูหรากว่า Toyota Fortuner อย่างที่มันควรจะเป็น และมีความอ่อนช้อยงดงามมากกว่า Toyota Land Cruiser Prado ออปชั่นภายนอกต่างๆ ไม่จำกัดตายตัว เพราะจำหน่ายโดยผู้นำเข้าอิสระ ออปชั่นต่างๆ สามารถเปลี่ยนแปลงกันได้ตลอด แล้วแต่ว่าจะซื้อจากใคร

ภายใน
ออปชั่นก็ไม่ตายตัวเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ก็จะตกแต่งภายในด้วยลายไม้ ดีไซน์อุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ ดูย้อนยุคไปหน่อย แต่จะเรียกว่าโบราณคร่ำครึก็ไม่ใช่ เรียกว่าเป็นความ Classic อย่างมีสไตล์ แบบ Retro จะดีกว่า เพราะมันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกเหมือนนั่งในรถรุ่นเก่าเลย ออปชั่นที่ควรจะต้องมีเป็นมาตรฐานก็คือ แอร์ดิจิตอล พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น เบาะหนังแท้ปรับไฟฟ้า เซ็นเซอร์ช่วยจอด นอกนั้นก็ระบบความปลอดภัยทั่วไปที่รถปกติต้องมีอยู่แล้ว
ภายใน Harrier
สมรรถนะเครื่องยนต์และอัตราเร่ง
Toyota Harrier ที่มีจำหน่ายในไทยมีอยู่ 2 ขุมกำลังหลัก คือ เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ รหัส 3ZR-FAE ให้แรงม้า 151 แรงม้าที่ 6,100 รอบต่อนาที แรงบิด 193 นิวตัน/เมตร ที่ 3,800 รอบต่อนาที ราคาเปิดตัวของรุ่นนี้อยู่ที่ 2,850,000 บาท แต่เท่าที่เห็นตอนนี้ ราคา 2.39 ล้านบาทก็มีขายเหมือนกัน ส่วนอีกรุ่นหนึ่งก็คือรุ่นไฮบริดที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร 4 สูบ 152 แรงม้า ทำงานร่วมกับระบบไฮบริด ขับเคลื่อนสี่ล้อด้วยไฟฟ้าเรียกว่าระบบ E-Four รวมแรงม้าทั้งระบบได้ 197 แรงม้า ราคาเปิดตัวของรุ่นนี้อยู่ที่ 2,990,000 บาท แต่ในตอนนี้ ราคา 2.5 ล้านบาทก็น่าจะมีขาย สำหรับความรู้สึกในการทำอัตราเร่งของรถคันนี้นั้นเรียกว่าให้ความรู้สึกไม่ต่างกันทั้งในรุ่นเบนซิน 2.0 ลิตร และรุ่น 2.5 ลิตร ไฮบริด ตัวเลขจับเวลาอย่างคร่าวๆ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ไม่น่าจะพ้น 10 วินาทีลงมาได้ จะทำกี่ครั้งลองกี่แบบก็ใช้เวลามากกว่า 10 วินาทีอยู่ดี สำหรับรุ่นเบนซิน 2.0 ลิตร อย่าไปเอาตัวเลขมั่วๆ ที่ทำได้ 7.8 วินาที ของ Version Lexus RX450h มาเทียบ เพราะรายนั้นใช้เครื่องยนต์ V6 3.5 ลิตร ต่างกับ Toyota Harrier โดยสิ้นเชิง ส่วนรุ่น 2.5 ลิตรไฮบริด ก็อืดพอกันสำหรับรถระดับนี้ เกียร์ทำงานได้อย่างน่าเบื่อมาก แต่ถ้าไปเทียบกับพวก Fortuner แล้วก็จะถือว่ามีอัตราเร่งที่ฉับไวกว่า อัตราประหยัดน้ำมันถ้าขับแบบเต็มที่เร่งสลับผ่อนบ้างมีช่วงความเร็วตั้งแต่ 80-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รุ่น 2.0 ลิตรจะทำได้ 13 กม./ลิตร และรุ่น 2.5 ลิตร ไฮบริด จะทำได้ 15 กม./ลิตร นี่แบบทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแล้วนะ ตัวเลขยังไม่ทิ้งห่างรุ่นเบนซินไร้ระบบไฮบริดเท่าไหร่ แต่รุ่นไฮบริดมีดีที่ใช้ไฟฟ้าขับก็ได้ซึ่งถ้าจะขับโหมดประหยัดจริงๆ มันสามารถทำได้ดีที่สุด 21.8 กม./ลิตร เลยเชียวนั่น

ช่วงล่างหรือระบบรองรับ
ออกแนวขับสบายมีความนุ่มสมูทมากเวลาวิ่งผ่านลูกระนาดก็ซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี การเกาะถนนและการทรงตัวถือว่าทำได้ดีสมกับระดับของรถ การวิ่งเป็นไปอย่างเงียบเชียบและผ่อนคลาย สามารถนั่งจิบกาแฟในรถได้โดยไม่ต้องกลัวหกราดใส่กางเกงหรือกระโปรง (สำหรับถนนไฮเวย์ปกติ ไม่มีหลุมบ่อ ลูกระนาด) ช่วงล่างจะลงตัวที่สุดเมื่อจับคู่กับล้อและยางขนาด 16 นิ้ว แต่ถ้าเป็นล้อและยางขนาด 17 นิ้ว จะมีเสียงดังจากการเสียดสีขึ้นมาหน่อย และขับได้ไม่นิ่มเท่า แต่จะได้ความหนึบแน่นที่เพิ่มมากขึ้น

สรุป
ควรศึกษาดีๆ ระหว่างรุ่นเบนซิน 2.0 ลิตร กับรุ่น 2.5 ลิตร ไฮบริด หากคุณไม่ขับรถไปไหนไกลก็ใช้รุ่น 2.0 ลิตร น่าจะเหมาะสมที่สุด แต่ถ้าหากเดินทางออกต่างจังหวัดบ่อยๆ หรือต้องจอดรถติดไฟแดงนานๆ รุ่นไฮบริด ก็น่าจะตอบสนองโจทย์การใช้งานได้ครอบคลุมกว่า และสุดท้ายอย่าลืมว่าใน Segment นี้ยังมี BMW X1 อยู่

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Toyota 86 รถสปอร์ตขวัญใจ Otaku

Toyota 86 รถสปอร์ตที่ถือกำเนิดขึ้นจากความร่วมมือของสองค่ายที่แนวทางไม่น่าจะเข้ากันได้ อย่าง Toyota ที่เน้นผลิตรถเพื่อทำกำไร มีจุดขายที่ความทนทานและง่ายแก่การบำรุงรักษา และ Subaru ที่ออกจะมีแนวทางแบบตามใจตัวเองเน้นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น ทั้งสองค่ายมา Featuring กันจนทำให้เกิดผลงานชั้นดีชิ้นนี้ออกมา รถคันนี้มีอะไรน่าสนใจบ้างมาดูที่บรรทัดถัดไป
รูปลักษณ์ภายนอก
Toyota 86
ท้าย Toyota 86
ก็อย่างที่เห็นมันดูเป็นรถสปอร์ตที่มีความโฉบเฉี่ยว ขับไปที่ไหนมีแต่คนมอง บางคนถึงกับจอดถ่ายรูปเลยนั่น ขนาดมีรถที่แพงกว่าอย่าง Mercedes-Benz S-Class จอดอยู่ข้างๆ คนที่ผ่านไปมายังสนใจรถที่มีราคา 2.49-2.74 ล้านบาท คันนี้มากกว่าซะอีกเป็นไปได้ไง ถือว่าดีไซน์ภายนอกของมันทำหน้าที่ได้ดีจริงๆ คะแนนเต็ม 10 ได้ 10 เต็มไปเลย ดีไซน์ภายนอกที่เป็นฝาแฝดกับ Subaru BRZ นี้ ประกอบไปด้วยชุดแต่งและสเกิร์ตรอบคัน กระจกกรองแสง ไฟตัดหมอกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ LED มีท่อคู่ทรงกลมพร้อม Diffuser ด้านหลัง ใช้ล้อแม็กขนาด 16 นิ้วสำหรับรุ่นมาตรฐาน และขนาด 17 นิ้วสำหรับรุ่นท็อป

ภายใน
ภายใน 86
ตกแต่งแบบเรียบง่ายด้วยโทนสีดำ มีพวงมาลัยหุ้มหนังปรับสูง-ต่ำได้ เบาะนั่งคนขับปรับสูง-ต่ำได้ มีหน้าจอ Touch Screen มีระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา มีปุ่ม Start/Stop เบาะหลังสามารถพับได้ สำหรับวัสดุหุ้มเบาะตัวท็อปจะเป็นหนังแบบสังเคราะห์กึ่งหนังแท้ แต่ตัวมาตรฐานจะเป็นผ้า รุ่นท็อปจะมีพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น แต่ตัวมาตรฐานไม่มี ถามว่านั่งแล้วรู้สึกเป็นไง ก็บอกเลยว่านั่งสบายดีไม่มีปัญหาอะไร ความรู้สึกไม่ต่างจากนั่งรถบ้านเท่าไหร่ ถ้าไม่หันไปข้างหลังเห็นพื้นที่แคบๆ ล่ะก็จะไม่รู้สึกว่าเป็นรถสปอร์ตเลย นึกว่ากำลังนั่งขับอยู่ในรถเก๋งซีดานซะอีก ลืมไปเลยว่านี่มันรถสปอร์ต 2 ประตูชัดๆ

สมรรถนะเครื่องยนต์ อัตราเร่ง
Toyota 86 ใช้เครื่องยนต์ Boxer สูบนอน 2.0 ลิตร ตัวเดียวกันกับที่ใช้ใน Subaru BRZ มีแรงม้า 200 แรงม้าที่ 7,000 รอบต่อนาที แรงบิด 205 นิวตัน/เมตร ที่ 6,400 รอบต่อนาที ระบุสเป็คจากโรงงานมาว่ารถหนัก 1,250 กิโลกรัม คันนี้ ทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ภายใน 7.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 226 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ขับจริงๆ แล้วช้ากว่าที่สเป็คระบุไว้มาก โดยรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ทำอัตราเร่งจาก 0-100 ได้ใน 7.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 223 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ยิ่งรุ่นเกียร์อัตโนมัติยิ่งอืดเป็นเต่าไม่ต่างจากรถซีดาน C-Segment เลย ทำ 0-100 ได้ 9.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ของแบบนี้รถบ้านพิกัด 2.0 ลิตรทั่วไปก็ทำได้ นั่นก็คงเป็นเพราะเครื่อง 2.0 ลิตรไร้ระบบช่วยอัดอากาศมันมาได้สุดลิมิตแต่เพียงแค่นี้ หรือไม่ก็เป็นเพราะคุณภาพหรือสเป็กน้ำมันต่างกับที่ทางโรงงานเขาใช้อยู่ ยังไงก็ตามอัตราเร่งยืดหยุ่น 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่าดีกว่ารถบ้าน โดยรุ่นเกียร์อัตโนมัติทำได้ 6.45 วินาที รุ่นเกียร์ธรรมดาทำได้ 5.84 วินาที ที่เกียร์สาม และ 7.61 วินาทีที่เกียร์สี่ แต่ยังไงก็ขอบอกย้ำอีกครั้งเลยว่าความรู้สึกในการเหยียบคันเร่งแต่ละครั้งตอบสนองไม่ต่างจากรถบ้านเลย แต่สิ่งที่จะได้กลับมาก็คืออัตราประหยัดน้ำมันที่ทำได้อย่างดีเทียบเท่ารถบ้านคือรุ่นเกียร์อัตโนมัติทำได้ 15.57 กม./ลิตร ส่วนรุ่นเกียร์ธรรมดาทำได้ 14.95 กม./ลิตร เสียงเครื่องยนต์หรือท่อไอเสียถ้าคนที่ไม่เคยขับรถสปอร์ตก็คงรู้สึกว่ามันดังแล้ว แต่ถ้าคุณเคยชินกับรถประเภทนี้ เสียงแบบนี้ไม่ต่างอะไรเลยกับเสียงตดแมว เบาและเงียบสนิท ความแรงของเครื่องยนต์ไม่ก่อให้เกิดความสนุกตื่นเต้นอะไรทั้งสิ้น จนกว่าจะได้มาพบกับสิ่งต่อไปนี้

ช่วงล่างหรือระบบรองรับ
ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังเป็นแบบดับเบิลวิชโบนหรือปีกนกคู่ การเซ็ตช่วงล่างและพวงมาลัยทำได้อย่างลงตัวมาก พวงมาลัยบังคับควบคุมได้ง่าย ว่องไว และแม่นยำ แต่ยังมีน้ำหนักหนืดมือให้สัมผัสได้ในยามใช้ความเร็วสูง เป็นพวงมาลัยไฟฟ้าที่เซ็ตได้ใกล้เคียงกับพวงมาลัยไฮดรอลิคในอดีต มีน้ำหนักที่ลงตัวทั้งในย่านความเร็วสูงและความเร็วต่ำ ต่างจากพวงมาลัยตุ๊ดในรถญี่ปุ่นยุคปัจจุบันที่เบาอย่างกับถุงก็อบแก็บ ทำอย่างกับกำลังแขนของมนุษย์ชายหญิงพันธุ์โฮโมเซเปียน ยุคนี้นั้นอ่อนแอบอบบางเหลือเกิน จนนึกว่าออกแบบพวงมาลัยให้คนเป็นโปลิโอแขนลีบเล็กขับหรือไง เอาล่ะนอกเรื่องมาเยอะมาต่อกันที่ช่วงล่างของ 86 การตอบสนองระหว่างช่วงล่างกับพวงมาลัยเป็นไปอย่างเฉียบคมสัมพันธ์กันอย่างลงตัวคุณจะรู้สึกถึงฟีดแบ็คของช่วงล่างอย่างตรงไปตรงมา อย่างกับว่าคุณใช้มือจับและบังคับล้อให้เลี้ยวซ้ายขวาด้วยตัวคุณเองเลยทีเดียว และด้วยจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำของเครื่องยนต์สูบนอน ทำให้การเข้าโค้งเป็นไปอย่างหนึบแน่น แต่ 86 ยังออกแบบช่วงล่างให้ผ่อนปรนในการที่จะทำการดริฟท์ได้อย่างง่ายดาย การแก้อาการในโค้งสามารถทำได้ดีเพราะพวงมาลัยบังคับควบคุมง่ายและแม่นยำ 86 จึงเป็นรถที่คุณสามารถเล่นซุกซนกับช่วงล่างของมันได้อย่างเมามัน จนบางครั้งก็นึกสงสัยว่าตัวเองก็อาจจะทำ Scandinavian flick หรือ feint drift ที่เป็นการดริฟท์โดยการถ่ายน้ำหนัก ได้อย่างกับมืออาชีพเช่นกันเมื่อใช้รถ 86 คันนี้ แต่ก็ไม่เคยลอง และสิ่งที่ทำให้รถคันนี้มีคุณค่าขึ้นมาทันทีก็คือการตอบสนองของช่วงล่างและพวงมาลัยนี่แหละ มันดีเลิศประเสริฐศรีแบบมีคะแนนเต็ม 10 ให้ 10 เต็มได้เลย

สรุป
เป็นรถสปอร์ตที่ใช้งานง่ายขับสบายไม่เมื่อยตุ้ม ประหยัดน้ำมันเมื่อเทียบกับรถสปอร์ตรุ่นอื่นๆ ช่วงล่างและพวงมาลัยประเสริฐที่สุดในสามโลก เพียงแต่ว่ามันเป็นรถสปอร์ตที่ช้าเกินไปเกินกว่าที่จะเรียกว่ารถสปอร์ตได้ แต่สำหรับเรื่องแฮนด์ลิ่งบอกได้เลยว่าโคตรจะสปอร์ต หากจะให้คะแนนก็คงจะให้ตามนี้
รูปลักษณ์ภายนอก: 10/10
การตกแต่งภายใน: 6/10
สมรรถนะเครื่องยนต์ อัตราเร่ง: 4/10
ช่วงล่างและการบังคับควบคุม: 10/10
การใช้งานในชีวิตประจำวัน: 7/10
ความประหยัด: 8/10
ปัจจัยทางอารมณ์: 9/10

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การวิเคราะห์อาการเครื่องยนต์เบื้องต้น

ในการใช้งานรถยนต์หากสามารถวิเคราะห์อาการของเครื่องยนต์ได้ก็จะเป็นประโยชน์ในการใช้งานอย่างมาก บางท่านถึงขนาดศึกษาจนถึงขั้นเก่งกว่าช่างเลยก็มี แต่ที่จะมานำเสนอในครั้งนี้คงไม่ถึงระดับ Advance ขนาดนั้น โดยครั้งนี้จะเป็นการวิเคราะห์อาการอย่างคร่าวๆ เพื่อให้ตั้งสมมุติฐานได้ว่าชิ้นส่วนตัวไหนเสียแล้วจะได้ไปปรึกษาช่าง โดยแบ่งอาการเครื่องยนต์เป็นดังนี้

เครื่องยนต์สตาร์ทไม่ติด
มีระบบที่เกี่ยวข้องกับอาการนี้โดยหลักๆ ก็มีอยู่ 6 ระบบ ซึ่งสามารถส่งผลต่อการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ระบบเหล่านี้ คือ ระบบจ่ายไฟ ระบบเชื้อเพลิง ระบบจุดระเบิด ระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ ระบบสตาร์ทเย็น และสุดท้ายระบบดูดอากาศเข้า
ระบบจ่ายไฟ
หากข้อบกพร่องเกิดขึ้นในระบบนี้ ให้สันนิษฐานไว้ว่า เกิดการผิดปกติของหน้าสัมผัสของสวิทช์จุดระเบิด ซึ่งหน้าสัมผัสกาจจะสกปรกหรือมีข้อบกพร่องอย่างอื่นด้วย อีกสาเหตุหนึ่งก็คือรีเลย์หลักอาจจะไม่ทำงาน
ระบบเชื้อเพลิง
ความผิดปกติของระบบเชื้อเพลิง อาจเกิดจาก ไส้กรองน้ำมัน หรือท่อยางเกิดการอุดตัน หากเสียที่ตรงนี้ที่เดียวเปลี่ยนก็ราคาไม่กี่บาท, เรกกูเรเตอร์ควบคุมแรงดันน้ำมันผิดปกติอาจจะแรงดันตก ทำให้ความดันน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำเกินไป, สุดท้ายก็อาจจะเกิดจาก ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ทำงาน หรือหัวฉีดไม่ฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง
ระบบจุดระเบิด
ความบกพร่องของระบบนี้อาจเกิดจาก จานจ่าย คอยล์จุดระเบิด หรือตัวช่วยจุดระเบิด ไม่จ่ายไฟแรงสูง และก็อาจจะเกิดจากหัวเทียนไม่จุดระเบิดหรือกัวเทียนบอดนั่นเอง
ระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์
หากความผิดปกติเกิดขึ้นกับระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ อาจเกิดจาก จานจ่ายสัญญาณ G และ Ne ไม่ส่งสัญญาณไปยังกล่อง ECU หรือก็อาจจะเกิดจาก เซ็นเซอร์ความดันในท่อร่วมไอดี ที่เรียกกันว่าเซ็นเซอร์สุญญากาศ มีค่าความต้านทานหรือค่าแรงดันไฟฟ้าไม่ได้ตามที่กำหนดจนทำให้เกิดการขาดหรือลัดวงจร
ระบบสตาร์ทเย็น
สำหรับระบบนี้อาจเกิดจากหัวฉีดสตาร์ทเย็นไม่ฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง และสวิทช์หัวฉีดสตาร์ทเย็นไม่ทำงานตลอดเวลา
ระบบดูดอากาศเข้า
ให้เช็คดูว่าท่อนำอากาศรั่วหรือไม่ และก็อาจเกิดจากลิ้นอากาศไม่เปิดหรือเปิดแต่ไม่เต็มที่ได้เหมือนกัน

เครื่องยนต์สตาร์ทติดยาก
แบ่งเป็นสตาร์ทติดยากตอนเครื่องร้อน ตอนเครื่องเย็นเย็น และทั้งสองอย่าง
ตอนเครื่องร้อน
ให้เช็คระบบน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบดูดอากาศ และระบบสตาร์ทเย็น ว่าหัวฉีดรั่วหรือเปล่า เรกูเรเตอร์ความดันต่ำไปหรือเปล่า หัวฉีดสตาร์ทเย็นรั่วหรือเปล่า ลิ้นอากาศเปิดไม่เต็มที่หรือเปล่า
ตอนเครื่องเย็น
เช็คที่ระบบสตาร์ทเย็น หัวฉีดสตาร์ทเย็นอาจจะไม่ฉีดเชื้อเพลิงหรือสวิทช์ควบคุมหัวฉีดไม่ทำงาน เช็คระบบดูดอากาศเพราะลิ้นISC ลิ้นอากาศ อาจไม่เปิดหรือเปิดไม่เต็มที่ เช็คระบบควบคุมอิเล็ทรอนิกส์ว่าเซ็นเซอร์อุณหภูมิอากาศเข้ากับเซ็นเซอร์อุณหภูมิน้ำหล่อเย็น มีความเสียหาย หรือลัดวงจรหรือเปล่า
ทั้งร้อนและเย็น
เช็คระบบน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบดูดอากาศ ระบบสตาร์ทเย็น ระบบจุดระเบิด
ระบบน้ำมันเชื้อเพลิง อาจเกิดจากวงจร STA ของรีเลย์เปิดวงจรไม่ทำงาน กรองน้ำมันและท่อน้ำมันเชื้อเพลิงเกิดการอุดตัน
ระบบดูดอากาศ อาจเกิดจากลิ้นอากาศไม่เปิดเต็มที่
ระบบสตาร์ทเย็น หัวฉีดสตาร์ทเย็นอาจรั่วหรือไม่ฉีดน้ำมัน สวิทช์ควบคุมหัวฉีดสตาร์ทเย็นอาจไม่ทำงาน
ระบบจุดระเบิด เช็คดูหัวเทียนเพราะหัวเทียนอาจมีเขม่าจับมาก

และนี่ก็เป็นอาการทั่วไปที่พบได้บ่อยๆ หวังว่าข้อมูลเหล่านี้คงพอเป็นประโยชน์ได้บ้าง หากมีโอกาสครั้งหน้าอาจจะนำเสนออาการของเครื่องยนต์ที่ซับซ้อนขึ้นกว่านี้ สำหรับครั้งนี้ขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน แล้วเจอกันครั้งหน้า สวัสดีครับ