วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Rolls-Royce Wraith อสูรร้ายในคราบผู้ดี


Rolls-Royce อัครมหายานยนต์จากแดนผู้ดีรายนี้น้อยครั้งนักที่จะเห็นทำรถยนต์สองประตู Rolls-Royce Wraith คันนี้ ได้เปิดตัวเมื่อปี 2013 โดยตั้งใจจะให้เป็นคู่แข่งโดยตรงของ Bentley Continental GT ในขณะที่ Bentley เน้นความเป็นสปอร์ตมากขึ้น Rolls-Royce กลับยึดความหรูหราเป็นแนวทางอยู่เช่นเดิม แต่ในขณะเดียวกันก็พัฒนาสมรรถนะไม่ให้น้อยหน้าคู่แข่งอย่าง Bentley ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาอย่างยาวนาน ด้วยสมรรถนะของเครื่องยนต์ V12 6.6 ลิตร ทวินเทอร์โบ ผลิตแรงม้าได้มากถึง 624 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 800 นิวตัน-เมตร และมีมาให้ใช้ตั้งแต่รอบต่ำ 1,500 ไปจนถึง 5,500 รอบต่อนาที ด้วยแรงม้าแรงบิดขนาดนี้มันสามารถส่งให้รถเครื่องยนต์วางหน้าขับเคลื่อนล้อหลังที่มีน้ำหนักถึง 2,440 กิโลกรัมคันนี้เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 4.6 วินาที ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามกฎหมาย ซึ่งถ้าปลดล็อกออกมันไปได้เร็วกว่านี้มากแน่นอน อัตราการบริโภคน้ำมันโดยเฉลี่ยของรถคันนี้อยู่ที่ 7.143 กิโลเมตรต่อลิตร Rolls-Royce Wraith มีความจุถังน้ำมัน 83 ลิตร ทำให้รถคันนี้เติมน้ำมันเต็มถังแล้วขับไปได้ระยะทางประมาณ 593 กิโลเมตรโดยมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ 327 กรัมต่อกิโลเมตร  จากการทดสอบของ Autocar พบว่า Wraith ส่งกำลังผ่านเกียร์ ZF 8 สปีดได้อย่างราบรื่นถึงจะเร่งได้ไม่หวือหวาเหมือน Continental GT แต่ก็รู้สึกได้ถึงความเร็วที่ไหลทะลักออกมาอย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุด แน่นอนมันไม่ใช่รถสำหรับแข่งในสนามการทำความเร็วแบบไปเรื่อยๆแบบนี้ก็ตรงกับวัตถุประสงค์ของการสร้างรถคันนี้มาแล้ว แต่เมื่อคุณต้องการอัตราเร่งระบบเกียร์ก็ฉลาดพอที่จะเลือกเกียร์ให้สัมพันธ์กับรอบเครื่องอย่างเหมาะสมชั่วอึดใจเดียวคุณจะรู้สึกถึงแรงดึงจากแรงบิด 800 นิวตัน-เมตร อย่างเต็มๆและพุ่งทะยานเร่งแซงรถคันหน้าได้อย่างง่ายดาย มันจะรู้สึกว่ารถมีความเร็วตลอดทั้งรอบต่ำรอบกลางและรอบสูง ทางด้านแฮนด์ลิ่งและพวงมาลัยยังถือว่าขาดความคล่องตัวเพราะรถมีขนาดใหญ่และหนักเกือบ 2 ตันครึ่ง แต่การทรงตัวในการขับขี่ปกติรู้สึกมั่นคงดีแต่ควรหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนเลนส์อย่างกระทันหันในขณะใช้ความเร็วสูง แต่ถ้าคนขับเกิดอยากซุกซนปิดระบบควบคุมการทรงตัวต่างๆ เจ้ารถมาดผู้ดีคันนี้ก็จะเปลี่ยนบุคลิกเป็นตรงกันข้ามเมื่อคุณหักพวงมาลัยเข้าโค้งด้วยความเร็วหน้าก็จะจิกท้ายก็จะโอเวอร์สเตียร์ตามมา มันจะสามารถดริฟท์ได้เหมือนเป็นรถสปอร์ตคันเล็กๆ คันหนึ่ง เจ้ารถคันนี้สามารถขับได้ดีทั้งสถานการณ์ที่ต้องการความนิ่มนวล และสามารถก้าวราวแผดเสียงคำรามได้อย่างดุดันเมื่ออยู่ในโหมดสปอร์ต ทั้งนี้ถ้าเทียบกับรถ Luxury Car ทั่วไปแล้ว Rolls-Royce Wraith กินขาดทั้งความเร็วและความหรูหรา และเมื่อเทียบกับ Bentley Continental GT แล้ว ยังสามารถเอาชนะได้ในความหรู แต่ยังแพ้เรื่องความเร็ว เนื่องจากพื้นฐานของ Wraith มาจากรถซาลูนอย่าง Rolls-Royce Ghost มันจึงไม่ทำให้เกิดความรู้สึกสปอร์ตเท่าไหร่ แต่เมื่อไหร่ที่คุณเจอมันวิ่งอยู่บนถนนอยู่แล้วคุณขับรถสปอร์ตอย่าง FT 86 หรือ BRZ ที่ไม่ได้ปรับแต่งแล้วเกิดอยากจะเล่นกับมันขึ้นมาเพราะเห็นว่ามันใหญ่เทอะทะกว่าล่ะก็ ระวังจะโดนมันสวนจนต้องเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีด้วยความอับอายก็แล้วกัน

ตูดมันใหญ่มาก

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Mclaren MP4-12C ถึงหน้าตาจะ Mazda 3 แต่ในสนามไม่เป็นรองใคร

เห็นจั่วหัวมาแบบนี้บางคนบอกว่ามันจะ Mazda 3 ได้ยังไงลองมาดูภาพเปรียบเทียบกัน

Mclaren MP4-12C





Mazda 3 2012
ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงกับ Mazda 3 ปี 2012 รุ่นก่อน All New Mazda 3 Skyactive ถ้าเปลี่ยนกันชนกับช่องดักลมหน้าและฝากระโปรงนี่ Mazda 3 จะกลายเป็น Mclaren MP4-12C ซีดานไปเลย ยิ่งโคมไฟหน้านี่มันรูปทรงเดียวกันเลยเพียงแต่คิ้วด้านบนมีหยักลงนิดหน่อย ไม่แน่ใจว่าใครเลียนแบบใครจะว่าไป 2 คันนี้ก็วางตลาดมานานแล้วทั้งคู่จำไม่ได้ว่าใครเริ่มวางขายก่อน ว่าแล้วก็น่าเอา Mazda 3 มาดัดแปลงซะหน่อย แต่เอ๊ะ คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้จัก Mclaren นี่หว่า งั้นจะทำไปเพื่อ?

ก็นับว่าน่าเศร้าล่ะครับที่รถสุดยอดขนาดนี้ดันไม่รู้จักกัน ถ้าเป็นคนทั่วไปไม่ใช่พวกคลั่งรถ หรือไม่สนใจซูเปอร์คาร์ อย่างมากก็รู้จักแต่ Ferrari, Lamborghini, Porsche อะไรพวกนั้น ยิ่งไปอ่านเจอเรื่องเศร้าในพันทิป ที่เจ้าของรถคันนี้โดน รปภ. ห้ามเข้าโซนแดงสยามพารากอน เพราะ คิดว่าเป็นรถญี่ปุ่นนี่ยิ่งอนาถใจ แต่ก็เอาเถอะรูปร่างหน้าตาช่างหัวมันเพราะมันจัดว่ารูปทรงสวยอยู่ไม่ได้ทุเรศอะไร รถสวยแต่รูปจูบไม่หอมมีให้เห็นเยอะแยะ ถ้าให้เลือกรถสวยแต่สมรรถนะห่วย กับรถหน้าตาอุบาทว์แต่สมรรถนะดี ส่วนตัวผมเลือกอย่างหลัง เพราะความสวยมันแล้วแต่คนจะมอง Mclaren MP4-12C คันนี้ก็เช่นกัน

เอาล่ะในเมื่อมองข้ามเรื่องรูปร่างรูปทรงไปแล้วก็มาดูสมรรถนะกันดีกว่า 12C ใช้เครื่องยนต์ M838T V8 3.8 ลิตร Twinturbo วางกลางขับเคลื่อนล้อหลัง มีกำลังสูงสุด 600 แรงม้า และปรับปรุงเป็น 616 แรงม้า ที่ 7,500 รอบต่อนาที ในปี 2012 แรงบิดสูงสุดคงเดิมที่ 600 นิวตัน-เมตร ที่ 3,000-7,000 รอบต่อนาที โดย 80 % ของแรงบิดจะมีมาให้ใช้ตั้งแต่ 2,000 รอบต่อนาที ตัวรถเปล่า(ไม่มีผู้โดยสารไม่มีสัมภาระ)มีน้ำหนัก 1,434 กิโลกรัม แต่ถ้าเปล่าเลยแบบถ่ายของเหลวออกหมด ก็จะเหลือ 1,301 กิโลกรัมเท่านั้น 12C สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.1 วินาที ความเร็วสูงสุดที่ระบุไว้ 333 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่จากการทดสอบของ Sport Auto มันสามารถไปได้ถึง 343 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะเบรกจาก 100-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้ระยะ 30.7 เมตร หรือ 101 ฟุต อัตราการบริโภคน้ำมันเท่ากับ 8.547 กิโลเมตรต่อลิตร ถังน้ำมันมี 72 ลิตร ซึ่งเท่ากับว่าเติมน้ำมันเต็มถังรถจะไปได้ 615.384 กิโลเมตร และมีอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่ 279 กรัมต่อกิโลเมตร แล้วการทดสอบในสนามแข่งล่ะ ใน Nurburgring มันทำเวลาได้ 7 นาที 28 วินาที เท่ากับ Ferrari F458 Italia บอกย้ำมาหลายต่อหลายครั้งคงไม่ต้องสาธยายซ้ำอีก และที่สนาม Vairano ของ Quattroruote ในอิตาลี 12C ทำได้ 1 นาที 14.81 วินาที ในขณะที่ 458 ทำได้ 1 นาที 15.14 วินาที แต่ที่น่าทึ่งคือที่สนาม Top Gear ที่ 12C ทำได้ 1 นาที 16.2 วินาที เร็วกว่า Lamborghini Aventador LP 700-4 ( 1 นาที 16.5 วินาที ) Bugatti Veyron 16.4 Super Sport ( 1นาที 16.8 วินาที ) ในขณะที่ 458 ทำได้ 1 นาที 19.1 วินาที ทุกคันขับโดย The Stig นับว่าสนามระยะสั้นแม็คก้านั้นโคตรเทพ แต่...ยังมีแต่อีก ถึงแม้ตัวเลขและผลงานที่ออกมาจะเหนือกว่า Ferrari F458 Italia สื่อหลายๆเจ้าก็ยังให้ 458 ชนะอยู่แม้แต่ Top Gear เองก็เช่นกัน จากที่รวบรวมข้อมูลและกลั่นกรองออกมาพอจะสรุปความได้ว่า หนึ่ง 458 เป็นรถที่ขับสนุกให้ความรู้สึกอัตราเร่งฉับไว ส่วน 12C ขับไปไม่รู้สึกอะไรเลยถึงแม้จับเวลาจริงๆแล้วมันจะเร็วกว่า สอง ความเฉียบคมแม่นยำ น้ำหนักและทิศทางของพวงมาลัยและเบรก 458 ทำได้ลงตัวกว่า 12C ถึงแม้ระยะเบรกจะสั้นกว่าแต่เมื่อขับไปนานๆจะออกอาการเบรกเฟด พวงมาลัยจะคุมยากกว่านิดหน่อย สาม 458 บังคับให้รถดริฟท์ได้ง่ายกว่าและคุมการดริฟท์ได้ดี หากเป็นการแข่งขันแบบ Gymkhana 458 จะได้เปรียบในทันที นี่คือสามเหตุผลที่นักวิจารณ์ต่างพากันเทคะแนนให้ 458 เป็นฝ่ายชนะไป แล้วลองมาดูสิ่งที่ 12C ได้เปรียบบ้าง ซึ่งนอกจากสมรรถนะความเร็วและความประหยัดปล่อยมลภาวะน้อยกว่าแล้ว ฟีลลิ่งการขับที่ดูไม่มีอะไรแต่ก็แฝงไปด้วยความมั่นคงเพราะมันสามารถอัดโค้งไปด้วยความเร็วสูงโดยไม่มีอาการส่ายหรือโคลงให้เห็นต่างจาก 458 ที่ท้ายรถจะออกอาการส่ายให้เห็น ต้องขอบคุณช่วงล่างที่มีระบบน้ำมันไฮดรอลิกถ่ายเทไปตามแรงเหวี่ยง ( แรง G ) ช่วยรักษาสมดุลของน้ำหนักเวลาเข้าโค้ง ทั้งยังสามารถขับบนพื้นผิวขรุขระ และเปียกชื้น ได้ดีกว่า ก็คือมันสามารถรับมือกับถนนสภาพไม่ปกติได้ดีนั่นเอง ก็เรียกได้ว่า Mclaren MP4-12C คันนี้แม้มันจะไม่เร้าใจ สุ้มเสียงเครื่องยนต์ก็สู้ 458 ไม่ได้ แต่สมรรถนะของมันนั้นเป็นของจริงพิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรม โดยไม่ต้องไปใส่ใจกับปัจจัยทางด้านอารมณ์ให้มากนัก ในเมื่อตัวเลขมันฟ้องอยู่ทนโท่ว่าทั้งเร็วกว่าประหยัดกว่า ลงสนามก็ทำเวลาได้ดีกว่าอีกด้วย

บั้นท้ายที่ทำได้แต่เพียงไล่ตาม

Ferrari F458 Italia ม้าลำพองสุดฮ็อตกับสมรรถนะสุดติ่ง


เขียนพาดพิงถึงมันมาแล้วหลายครั้งไม่แนะนำตัวหน่อยก็คงจะไม่ได้กับรถ supercar สุดหล่ออย่าง Ferrari F458 Italia เจ้ารถคันนี้ทำตลาดมาได้หลายปีแล้วตั้งแต่ปี 2009 ผ่านมาแล้ว 5 ปี ปีนี้ 2014 ก็ยังยากที่จะหารถคันไหนในระดับเซกเมนต์เดียวกันมาโค่นบัลลังก์มันลงได้ ที่ทำได้ดีที่สุดด้วยผลเสมอกันก็คือ Mclaren MP4-12C กับเวลาต่อรอบในสนาม Nurburgring ที่ทำได้ 7 นาที 28 วินาที เท่ากัน เจ้า 458 คันนี้เป็นรถเครื่องยนต์วางกลาง V8 4.5ลิตร ไม่มีระบบช่วยอัดอากาศขับเคลื่อนล้อหลังตัวเลขสมรรถนะมีแรงม้าสูงสุดเท่ากับ 570 แรงม้า ที่ 9,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 540 นิวตัน-เมตร ที่ 6,000 รอบต่อนาที และ 80 เปอร์เซ็นต์ของแรงบิดจะมีมาให้ใช้ตั้งแต่ 3,250 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ดูอัลคลัทช์ 7 สปีด Getrag ทำให้สามารถพารถที่มีน้ำหนัก 1,485 กิโลกรัม คันนี้วิ่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.4 วินาที ความเร็วสูงสุดที่ทำได้คือ 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเท่ากับ 7.5 กิโลเมตรต่อลิตร 458 มีความจุถังน้ำมัน 86 ลิตร หมายความว่าเติมน้ำมันเต็มถังแล้วสามารถไปได้ไกล 645 กิโลเมตร อัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 307 กรัมต่อกิโลเมตร ทางด้านสมรรถนะช่วงล่างและการควบคุม ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบดับเบิ้ลวิชโบนหรือปีกนกคู่ด้านหลังเป็นแบบมัลติลิ้งค์พร้อมด้วยระบบ E-Diff และ F1-Trac traction control system ในการควบคุมการขับขี่ มีแดมเปอร์ที่ใช้เทคโนโลยีระบบแม่เหล็ก Magnetorheoligical ด้วยสิ่งเหล่านี้แม้คนขับจะเป็นมือสมัครเล่นแต่ถ้าเปิดระบบเหล่านี้ให้ทำงานและขับไม่ห้าวเกินไป ก็ไม่อาจจะทำให้มันหลุดโค้งไปกินหญ้าข้างทางได้ และนักทดสอบชื่อดังหลายคนได้ทดสอบระยะเบรกของรถคันนี้แล้วผลออกมาจากความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงถึงจุดหยุดนิ่ง 0 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใช้ระยะ 32.5 เมตรหรือ 107 ฟุต ด้วยรูปทรงที่ลู่ลมและสร้างมาอย่างถูกหลักอากาศพลศาสตร์เมื่อรถคันนี้วิ่งด้วยความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันจะสร้างแรงกดสู่พื้นได้ 140 กิโลกรัม หรือ 309 ปอนด์ Ferrari F458 Italia คันนี้ สร้างผลงานมาแล้วหลายสนาม เช่น

Topgear Test Track ทำได้ 1 นาที 19.1 วินาที เร็วกว่า Porsche Carrera GT ( 1 นาที 19.8 วินาที ) Lamborghini Murcielago LP 640 ( 1 นาที 19.8 วินาที ) Lamborghini Gallardo LP 570-4 Superleggera ( 1 นาที 20.8 วินาที ) Porsche 911 GT3 RS ( 1 นาที 21 วินาที )

Nurburgring ทำได้ 7 นาที 28 วินาที เท่ากับ Mclaren MP4-12C เร็วกว่า Porsche Carrera GT ( 7 นาที 28.71 วินาที ) Porsche 911 Turbo S ( 7 นาที 32 วินาที ) Pagani Zonda F ( 7 นาที 33 วินาที ) Nissan GTR Spec-V ( 7นาที 34.46 วินาที ) Lexus LFA ( 7 นาที 38 วินาที )

นับได้ว่าหมดข้อกังขาด้านสมรรถนะเพราะผลงานออกมาเป็นรูปธรรม สามารถอ้างอิงได้ว่ามันสามารถทำเวลาในสนามได้ดีกว่ารถสปอร์ตชื่อดังหลายๆรุ่น และชนะ Lexus LFA รุ่นวางตลาด ไม่มี Nurburgring Package ไปได้ถึง 10 วินาที โดย Lexus LFA มีราคาขายในตลาดแพงกว่า Ferrari F458 Italia เป็นแสนดอลล่าร์ ( สหรัฐฯ ) ถ้านำเข้าไทย Lexus LFA จะมีราคาถึง 45 ล้านบาท ซึ่งแพงกว่า Ferrari F458 Italia ที่มีราคา 25 ล้านบาท เกือบ 2 เท่า

ไฟท้ายทรงโดนัทที่ดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

รวมดาวเด่นรถสปอร์ตแดนซามูไร (ภาค 2)

จากที่เมื่อวานจบการแนะนำไปกับยี่ห้อ Mazda วันนี้จะมาต่อด้วย Mitsubishi โดยเริ่มกันที่

MITSUBISHI

Mitsubishi GTO (3000GT)
GTO (3000GT)

เป็นรถสปอร์ตคันเดียวที่ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยนำเข้ามาทำตลาดในยุคทศวรรษปี 90 สนนราคาในตอนนั้นประมาณ 3 ล้านบาท และในตลาดรถมือสองตอนนี้ก็ยังมีราคาแพงอยู่ โดยมีราคาอยู่ในระดับ 8 ถึง 9 แสนบาท ถ้าสภาพดีๆ ก็ขายกันหลักล้านเลยก็มีทั้งที่อายุอานามก็ปาเข้าไป 20 กว่าปีแล้ว สำหรับรุ่นท็อป 3000GT VR4 ใช้เครื่องยนต์ V6 Twinturbo ขับเคลื่อนสี่ล้อมี 320 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 427 นิวตัน-เมตร ที่ 2,500 รอบต่อนาที เร่งความเร็วจาก 0-100 ใน 5.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หายากมากในประเทศไทยเพราะส่วนใหญ่จะมีขายแต่รุ่น 190 แรงม้า เวอร์ชั่นไทยแต่ยังไงคนที่ซื้อไปก็เอาไปแต่งเพิ่มอยู่แล้ว รถคันนี้แปะตราขายในอเมริกาในนาม Dodge Stealth

Mitsubishi FTO
FTO

รถสปอร์ตที่ถูกลืมในประเทศไทยมีขายเฉพาะตลาดเกรย์มาร์เก็ตเท่านั้นหายากมาก แม้แต่ที่ญี่ปุ่นเองก็เหลือน้อยเต็มที FTO ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร V6 ขับเคลื่อนล้อหน้า มีพละกำลัง 197 แรงม้าที่ 7,500 รอบต่อนาที น้ำหนักรถเปล่า 1,100 กิโลกรัมทำความเร็วสูงสุด 193 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร่งจาก 0-100 ได้ภายใน 7.1 วินาที

จริงๆ มี Mitsubishi Eclipse อีกที่เป็นรถสปอร์ตแต่มีขายเฉพาะในอเมริกาและผลิตแต่รุ่นพวงมาลัยซ้าย คนที่เล่นเกมส์ Need For Speed น่าจะคุ้นเคยกันดี แต่จะไม่ขอพูดถึง ขอข้ามไปที่ Lancer Evolution ที่เป็นสปอร์ตซีดาน 4 ประตูแทน


Mitsubishi Lancer Evolution IX MR
 Evolution IX MR

ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 4G63 เวอร์ชั่นญี่ปุ่นมี 286 แรงม้า แรงบิด 355 นิวตัน-เมตร น้ำหนักรถ 1,482 กิโลกรัม ทำอัตราเร่งจาก 0-100 ได้ภายใน 5.8 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่สำหรับเวอร์ชั่นอเมริกา มีแรงม้า 287 แรงม้าแรงบิดเพิ่มขึ้นเป็น 392 นิวตัน-เมตร น้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 1,490 กิโลกรัม สามารถทำความเร็วจาก 0-100 ได้ใน 4.2 วินาที แต่ความเร็วสูงสุดลดลงเหลือ 234 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Mitsubishi Lancer Evolution X FQ-400
Evolution X

วางขายหลากหลายเวอร์ชั่นแต่ขอแนะนำเวอร์ชั่น UK Spec FQ-400 ที่แรงที่สุด (ไม่นับ FQ-440 MR ที่เป็นรุ่นฉลองครบรอบ 40 ปี Lancer Evolution ในสหราชอาณาจักร) มี 400 แรงม้า แรงบิด 542 นิวตัน-เมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 ได้ใน 3.8 วินาที ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่สามารถนำไปให้จูนเนอร์ปลดล็อกความเร็วสูงสุดให้ได้

NISSAN

มาถึงค่าย Nissan ที่ลืมไปได้เลยและอย่าคิดอย่าฝันว่า Nissan บ้านเราจะนำเข้า GTR มาให้ แต่ยังไงผู้นำเข้าอิสระก็เอามาขายอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ยี่ห้อนี้ยังผลิตรถสปอร์ตป้อนตลาดอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยจะมาเริ่มแนะนำกันที่

Nissan Silvia S15
Silvia S15

Nissan Silvia S15 หรือที่เรียกกันว่า 200SX ในตลาดอเมริกา ใช้เครื่องยนต์ SR20DET มีแรงม้า 250 แรงม้า่ ที่ 6,400 รอบต่อนาที แรงบิด 275 นิวตันเมตรที่ 4,800 รอบต่อนาที สามารถทำความเร็วจาก 0-100 ได้ใน 5.52 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Nissan 350Z
350Z

รุ่นเครื่องยนต์ VQ35HR 3.5 ลิตร V6 มี 306 แรงม้า ที่ 6,800 รอบต่อนาที แรงบิด 363 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบต่อนาที รุ่น Base มีน้ำหนัก 1,515 กิโลกรัม ทำความเร็วจาก 0-100 ได้ใน 5.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


Nissan 370Z

370Z

รุ่นสืบต่อจาก 350Z ใช้เครื่องยนต์ VQ37VHR 3.7 ลิตร ในเวอร์ชั่นอเมริกามีแรงม้าถึง 332 แรงม้าที่ 7,000 รอบต่อนาที แรงบิด 365 นิวตัน-เมตร ที่ 5,200 รอบต่อนาที น้ำหนักเบาลงจาก 350Z อยู่ที่ 1,466 กิโลกรัม สมารถทำความเร็วจาก 0-100 ได้ใน 5.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 253 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Nissan GTR R35
GTR R35

และก็มาถึงคิวของเจ้าก็อตซิลล่า GTR R35 ซูเปอร์คาร์ตัวชูโรงของค่าย ใช้เครื่องยนต์ V6 3.8 ลิตร Twin Turbo ที่มีพละกำลังถึง 542 แรงม้า ที่ 6,400 รอบต่อนาที แรงบิด 628 นิวตัน-เมตร ที่ 3,200-5,800 รอบต่อนาที ส่งให้ตัวรถที่มีน้ำหนัก 1,740 กิโลกรัม ทะยานจาก 0-100 ด้วยเวลาเพียง 3.2 วินาที ความเร็วสูงสุดทำได้ 314 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สื่อหลายสำนักชอบนำไปเปรียบเทียบกับ Porsche 911 และ Audi R8 และหลายๆ ครั้งมันก็ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม และเวอร์ชั่นปรับแต่งที่ใช้แข่งในสนาม Nurburgring ที่เรียกว่า GTR Nismo ก็ใช้เวลาต่อรอบเพียง 7 นาที 8.68 วินาที เท่านั้น เร็วยิ่งกว่า Lamborghini Aventador lp 700-4 ที่ทำได้ 7 นาที 25 วินาที แต่เวอร์ชั่นที่ผลิตขายไม่ได้นำไปวิ่งอย่างเป็นทางการ แต่เวลาต่อรอบที่ไม่เป็นทางการอยู่ที่ 7 นาที 43.65 วินาที ยังช้ากว่า Lamborghini Gallardo lp 570-4 Superleggera ที่ทำได้ 7 นาที 38 วินาที เท่ากับ Lexus LFA และ Porsche 911 Turbo แต่ถือว่าช้ากว่าเพียงแค่ 5.65 วินาทีก็ยังไม่เสียหายนักเพราะเอาจริงๆ มันก็ต้องวัดกันที่ฝีมือคนขับด้วย ซึ่งสื่อต่างประเทศต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า GTR ขับง่ายกว่า Lamborghini

SUBARU

มาต่อกันที่ค่าย Subaru ซึ่งมีคู่แข่งของ Lancer Evolution อย่าง Subaru Impreza กันบ้างโดยเริ่มกันที่

Subaru WRX STI 2014
WRX STI

มันก็คือ Impreza โฉมปัจจุบันนั่นแหละ แต่ทาง Subaru ใช้ชื่อรุ่นที่ทำตลาดว่า WRX STI หรือเรียกกันสั้นๆว่า WRX โดยตัดคำว่า Impreza ออกไป โดยรุ่น WRX STI ใช้เครื่องยนต์สูบนอน (Boxer) 2.5 ลิตร เทอร์โบ มี 305 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที 393 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ทำความเร็วจาก 0-100 ได้ใน 5.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 264 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Subaru BRZ
BRZ

คู่แฝด Toyota FT 86 ใช้เครื่องยนต์ Boxer 2.0 ลิตร 200 แรงม้า ที่ 7,000 รอบต่อนาที แรงบิด 205 นิวตัน-เมตร ที่ 6,400 รอบต่อนาที ความเร็วสูงสุด 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร่งจาก 0-100 ได้ใน 7.6 วินาที

TOYOTA

มาปิดท้ายที่ค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota ที่ผลิตรถสมรรถนะสูงมาแล้วหลายรุ่นเริ่มกันที่

Toyota Supra
Supra

วิวัฒนาการมาจาก 2000GT และ Celica มีอยู่หลายรุ่นหลายเวอร์ชั่น เวอร์ชั่นแรงสุดที่วางขายในอเมริกามีถึง 320 แรงม้าที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิด 427 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ทำความเร็วจาก 0-100 ได้ภายใน 4.6 วินาที และความเร็วสูงสุดของรถทดสอบอยู่ที่ 285 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่วางขายจริงจำกัดความเร็วเอาไว้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่า FT1 Concept จะเป็น Generation ต่อไปของ Supra


FT1 Concept


Toyota MR-S

MR-S

ไล่สายตาไปแบบผ่านๆเกือบอ่านผิดเป็น โตโยต้า มิสซิส หรือ มิสเตอร์เอส กลายเป็นคุณนายกับคุณผู้ชายไปเลยสำหรับ เอ็มอาร์เอสเป็น Roadster ที่ไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่นเท่าไหร่สู้รุ่นเก่าอย่าง MR2 ก็ไม่ได้ แต่ด้วยต้นทุนค่าบำรุงรักษาที่ต่ำ ก็ถือว่าเป็นรถสปอร์ตสำหรับคนงบน้อย แต่ยังมีแก่ใจอยากซิ่ง ด้วยเครื่องยนต์ 1ZZ-FED ซึ่งวางประจำการในแท็กซี่หลายๆคันในบ้านเรามี 138 แรงม้า ที่ 6,400 รอบต่อนาที แรงบิด 169 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบต่อนาที ต้องขอบคุณน้ำหนักที่เบาถึง 996 กิโลกรัม ทำให้มันยังสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 ได้ใน 8.7 วินาที แต่ความเร็วสูงสุดก็จำกัดไว้ที่ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามกฎหมายญี่ปุ่น

Toyota FT 86
FT 86

รายละเอียดไม่ต่างจาก Subaru BRZ เท่าไหร่ 200 แรงม้า ที่ 7,000 รอบ 205 นิวตัน-เมตร ที่ 6,400 รอบ น้ำหนักรถเปล่า 1,250 กิโลกรัม แต่สปีดต้นทำได้ดีกว่าที่ 7.4 วินาที แต่ความเร็วสูงสุดน้อยกว่าที่ 226 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็เลือกเอาระหว่างความเร็วต้นกับความเร็วปลาย เพราะ 86 กับ BRZ ต่างกันแค่การเซ็ตช่วงล่างกับอัตราทดเท่านั้น ซึ่งถ้าอยากให้มันออกมาสมรรถนะเท่ากันเป๊ะก็แค่เซ็ตค่าใหม่ให้เหมือนๆกันเท่านั้นเองไม่ต้องไปเปลี่ยนชิ้นส่วนอะไรให้เสียเวลา

Lexus LFA

Lexus LFA

ปิดท้ายกันด้วย Supercar ราคาโคตรแพงของค่าย Toyota อย่าง Lexus LFA ที่ก้าวเข้าไปอยู่ในกลุ่ม Exotic Car อย่าง Ferrari และ Lamborghini ไปแล้ว โดย LFA ใช้เครื่องยนต์ V10 4,805 ซีซี กำลังสูงสุด 552 แรงม้าที่ 8,700 รอบต่อนาที แรงบิด 480 นิวตัน-เมตร ที่ 6,800 รอบต่อนาที น้ำหนักรถเปล่า 1,480 กิโลกรัม เร่งความเร็วจาก 0-100 ภายใน 3.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 326 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เวลาต่อรอบอย่างเป็นทางการที่ Nurburgring ทำได้ 7 นาที 38 วินาที เร็วกว่า Ferrari F430 Scuderia ที่ทำได้ 7 นาที 39 วินาที อยู่ 1 วินาที

สุดท้ายขอจบเรื่องนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ โอกาสหน้าหวังว่าคงจะได้มานำเสนอรถสปอร์ตสัญชาติอื่นอีกครั้ง

อ่าน รวมดาวเด่นรถสปอร์ตแดนซามูไร (ภาคแรก) ได้ที่นี่

คู่มือ Mitsubishi EVO IX (EVO IX Manual)



วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

รวมดาวเด่นรถสปอร์ตแดนซามูไร (ภาคแรก)

จากกระแสอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมในตอนนี้ ประเทศไทยเราก็มีความตื่นตัวไม่แพ้นานาประเทศ จึงส่งผลให้มีโครงการต่างๆ เพื่อประหยัดพลังงานและอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการประหยัดน้ำมัน ซึ่งก็มีโครงการต่างๆเพื่อสนับสนุน eco car จึงทำให้บริษัทรถยนต์ส่วนใหญ่หันไปเน้นตลาดรถยนต์ส่วนนี้มากขึ้น ยิ่งสภาพเศรษฐกิจผันผวนไม่ค่อยแน่นอน ค่าจ้างต่ำ ค่าครองชีพสูงด้วยแล้ว eco car มันยิ่งเหมาะกับปี 2014 นี้เป็นอย่างมาก แต่เมื่อย้อนไปถึงยุคปี 1990 จนถึงปี 2000 แล้ว ทศวรรษนั้นต้องถือว่าเป็นยุคทองของรถสปอร์ตสมรรถนะสูงในบ้านเรา มีหลายค่ายนำเข้ารถสปอร์ตและแข่งขันกันอย่างดุเดือด บริษัทรถยนต์ของญี่ปุ่นเองก็ส่งรถสปอร์ตมาขายในไทยหลายรุ่น และหลายๆคันถ้าปรับแต่งดีๆ ก็ถึงขั้นเล่นซะ supercar บางคันยังต้องเสียเชิง วันนี้เลยอยากมาหวนรำลึกถึงเหล่ารถญี่ปุ่นสมรรถนะสูงเหล่านั้นโดยแนะนำข้อมูลรถที่ยังไม่ผ่านการปรับแต่งเป็นสมรรถนะเดิมๆ จากสต็อกโรงงาน เริ่มจากค่าย

HONDA

Honda CRZ
CRZ

ไม่เชิงถือว่าเป็นรถสปอร์ต เพราะสมรรถนะใกล้เคียงกับรถบ้านมากกว่า แต่ก็มีหลายคนเวลาจะซื้อชอบนำไปเปรียบเทียบกับ FT 86 ของ Toyota ตามข้อมูลจาก official website ของ Honda ระบุว่าใช้เครื่องยนต์ 4 สูบแถวเรียงความจุ 1.5 ลิตร พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าระบบไฮบริด รวมกำลังจากเครื่องยนต์และมอเตอร์มี 130 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 172 นิวตัน-เมตร ที่ 1,000-3,000 รอบต่อนาที CRZ ทำความเร็วจาก 0-100 ได้ใน 10.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ที่เป็นจุดเด่นจริงๆ คือประหยัดน้ำมันถึง 20 กิโลเมตรต่อลิตร ก็ถือว่ามันเป็นรถยุคปัจจุบันที่พอจะหวนนึกถึงรถสปอร์ตในอดีตได้บ้างในด้านรูปลักษณ์

Honda Prelude
Prelude

นิสิถึงจะเรียกว่ารถสปอร์ต โดยรุ่นที่คนไทยนิยมคือ Generation 4 (มี 5 Generations) รุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ H22A1 มีแรงม้าที่ 187 แรงม้า ที่ 6,800 รอบต่อนาที แรงบิด 207 นิวตัน-เมตร ที่ 5,500 รอบต่อนาที เร่งความเร็วจาก 0-100 ได้ใน 9.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 201 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สมรรถนะดีกว่ารถบ้านในยุคปัจจุบันนิดเดียว แต่สำหรับยุค 90 แล้วถือว่าเร็วกว่ารถหลายๆคันในยุคนั้นมาก

Honda S2000
S2000

รุ่นท็อปเวอร์ชั่นญี่ปุ่นใช้เครื่องยนต์ 2.2 ลิตร 239 แรงม้า ที่ 7,800 รอบต่อนาที แรงบิด 221 นิวตัน-เมตร ที่ 6,500-7,500 รอบต่อนาที เร่งความเร็วจาก 0-100 ภายใน 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 241 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่าพอจะหนีสมรรถนะแบบรถบ้านไปได้แล้ว

Honda NSX
NSX

รถคันนี้ได้รับฉายาว่าเป็น Japanese Ferrari ซึ่งมันก็เป็นคู่ปรับตัวฉกาจของ Ferrari F355 ในยุคนั้น NSX ใช้เครื่องยนต์ รหัส C32B V6 3.2 ลิตร 290 แรงม้า 304 นิวตัน-เมตร ด้วยน้ำหนัก 1,430 กิโลกรัม มันสามารถทำความเร็วจาก 0-100 ได้ใน 4.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือได้ว่าเป็นซูเปอร์คาร์คันแรกของญี่ปุ่น และคาดว่าในปี 2015 NSX Generation 2 จะออกวางตลาดอย่างเป็นทางการ (เปิดรับจอง 2014 ส่งมอบรถได้ในปี 2015) โดยขณะที่เขียนบทความอยู่นี้ยังไม่เปิดเผยสเป็คของรถรู้แค่เพียงว่า ใช้เครื่องยนต์ V6 3.5 ลิตร ไฮบริด

Honda NSX 2015 Concept
MAZDA

Mazda RX7
RX7

เทพโรตารี่ที่เครื่องยนต์ใช้โรเตอร์หมุนแทนการเต้นของลูกสูบ FD3S เวอร์ชั่นญี่ปุ่นมี 276 แรงม้า 314 นิวตัน-เมตร หนัก 1,150 กิโลกรัม อัตราเร่ง 0-100 ใช้เวลา 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Mazda RX8
RX8

ถึงจะไม่แรงเท่า RX7 แต่ยังมีหัวใจความเป็นสปอร์ตกับเครื่องยนต์โรตารี่สมรรถนะ 232 แรงม้าที่ 8,500 รอบต่อนาที 215 นิวตัน-เมตร ที่ 5,500 รอบต่อนาที เร่งความเร็วจาก 0-100 ได้ใน 6.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 234 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Mazda MX5
MX5

รูปลักษณ์มีบุคลิกความเป็น Roadster กับเครื่องยนต์ 4 สูบแถวเรียง 2.0 ลิตร 167 แรงม้าที่ 7,200 รอบต่อนาที แรงบิด 190 นิวตัน-เมตร ที่ 5,000 รอบต่อนาที สำหรับรุ่นเกียร์ธรรมดา เร่งความเร็วจาก 0-100 ได้ใน 7.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 215 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

สำหรับวันนี้ขอจบภาคแรกไว้ที่ Mazda ก่อน ตอนต่อไปจะมาต่อกันที่ ค่าย Mitsubishi ที่ปัจจุบันจะเน้นรถกระบะ กับ PPV แล้วก็ eco car ไปซะส่วนใหญ่ แถมยังกั๊กไม่เคยจะนำเข้า Lancer Evolution มาขายในไทยเลย เราจะมาดูกันว่าค่ายนี้เคยผลิตรถสปอร์ตมากี่รุ่น และพลาดไม่ได้กับค่าย Nissan ที่มีเจ้าก็อตซิลล่า GTR เป็นตัวชูโรงนับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน

สำหรับวันนี้ขอให้ทุกท่านขับรถดีๆ มีน้ำใจ ปฏิบัติตามกฎจราจร เฮงๆ รวยๆ กันทุกคนครับ

อ่าน รวมดาวเด่นรถสปอร์ตแดนซามูไร (ภาค 2) ได้ที่นี่

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Lamborghini Gallardo ถึงแม้จะตกรุ่นไป ก็ยังน่าสนใจอยู่มิใช่น้อย

Lamborghini Gallardo lp 570-4 Superleggera
วันนี้จะมากล่าวถึงรถยนต์รุ่นหนึ่งจากค่ายกระทิงดุแห่งอิตาลี ปัจจุบันรถยนต์รุ่นนี้ได้ยุติสายพานการผลิตไปแล้ว และถูกเข้ามาแทนที่โดย Lamborghini Huracan lp 610-4 ใช่แล้วล่ะครับรถที่ผมจะมาแนะนำวันนี้ก็คือ Lamborghini Gallardo lp 570-4 Superleggera แน่นอนรถรุ่นนี้ทำตลาดมายาวนานนับ 10 ปี แต่ก็ยังคงสมรรถนะพอฟัดพอเหวี่ยงกับซูเปอร์คาร์ค่ายอื่นๆ ที่พึ่งจะออกทำตลาดได้ไม่กี่ปี อาทิเช่น Corvette Stingray รุ่นใหม่ล่าสุดปี 2014 ที่ Gallardo ยังชนะขาดแต่มีราคาแพงกว่า Stingray มาก และ Porsche 911 Turbo S รุ่นปัจจุบันที่ Gallardo แพ้เพียงแค่สปีดต้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าถ้าเป็น Gallardo รุ่นมาตรฐานมันคงจะสู้ Ferrari F458 Italia และ Mclaren MP4-12C ที่มีอายุตลาดไล่เลี่ยกันยังไม่ได้ กระทั่ง Audi R8 V10 Plus ก็ดูเหมือนจะแพ้ให้ซะด้วยจากความเห็นของสื่อต่างประเทศ อาทิเช่น Autocar UK, Topgear, Evo Magazine แล้วถ้าเป็นรุ่น Superleggera ที่มีน้ำหนักเบาลงและ แรงม้าเพิ่มขึ้นจาก 550 เป็น 570 แรงม้าล่ะ?

Lamborghini Gallardo lp570-4 Superleggera ใช้เครื่องยนต์ V10 สูบ DOHC 40 วาล์ว ความจุ 5,204 ซีซี อัตราส่วนกำลังอัด 12.5:1 ให้แรงม้าสูงสุดที่ 570 แรงม้าที่ 8,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 540 นิวตัน-เมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที กำลังทั้งหมดส่งผ่านเกียร์ Sequential 6 สปีดลงสู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ส่งตัวรถที่มีน้ำหนัก 1,340 กิโลกรัม พุ่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 3.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำตัวเลขได้เท่ากับ Ferrari F458 Italia พอดีเป๊ะทั้งอัตราเร่งและความเร็วสูงสุด แต่ความเร็วสูงสุดยังแพ้ให้กับ Aston Martin V12 Vantage S ที่ทำได้ 330 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสมรรถนะโดยรวมยังแพ้ให้กับ MP4-12C ที่เร่งความเร็วจาก 0-100 ได้ใน 3.1 วินาที และความเร็วสูงสุด 333 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่สมรรถนะสุดยอดแบบนี้ยังถือว่าเป็น Supercar ชั้นแนวหน้าได้อย่างแน่นอน Lamborghini Gallardo lp 570-4 Superleggera คันนี้ มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 7.4 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยมลพิษ CO2 319 กรัมต่อกิโลเมตร  โดยมีความจุถังน้ำมัน 90 ลิตร เท่ากับว่าเติมน้ำมันเต็มถังแล้วสามารถไปได้ 666 กิโลเมตร (เลขสวยดี) ซึ่งรถสปอร์ตสมรรถนะสูงมันก็ต้องเปลืองน้ำมันอยู่แล้วแต่ก็ถือว่าเปลืองน้ำมันกว่า Bentley Continental GT V8 S ที่คันใหญ่กว่าน้ำหนักมากกว่าเกือบตัน (1,000 กิโลกรัม ไม่ใช่อุดตัน) และยังขับสบายกว่าใช้งานได้สะดวกสบายขับทางไกลได้ดีกว่า แม้อัตราเร่งและความเร็วสูงสุดจะสู้ไม่ได้ก็ตามแต่ก็ไม่ได้แพ้กันมากมายเมื่อเทียบกับสิ่งที่เครื่องยนต์รับภาระอยู่ ถามว่าแล้วไอ้ Gallardo เนี่ยมันเหมาะกับคนแบบไหน ตามความเห็นของผมก็คงเหมาะกับพวกไอ้บ้าห้าร้อยที่บ้าความเร็ว บ้ารถสปอร์ต ชอบเสียงเครื่องยนต์และท่อไอเสียที่ดังแบบห้าวๆ ซึ่งผมคิดว่า Gallardo ทำเสียงออกมาได้ดุดันกว่า MP4-12C และน่าฟังกว่า Bentley ที่เสียงเครื่องยนต์ในรอบเดินต่ำฟังดูเหมือนเสียงเครื่องยนต์ของรถกระบะเก่าๆพิกล (ไปหาเปิดฟังได้เองใน Youtube) ซึ่งผมคิดว่าในที่สุดแล้วถึงรุ่นนี้จะเลิกผลิตและเลิกทำตลาดแต่มันก็ยังคงขายได้อยู่นั่นแหละ

คุณสามารถมองเห็นเครื่องยนต์ได้จากภายนอก

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Bentley Continental GT V8 S รถขนาดมหึมากับสมรรถนะแบบสปอร์ต

    
Bentley Continental GT V8 S
ตั้งแต่ Bentley เข้ามาอยู่ในเครือของ Volkswagen Group ค่ายนี้ก็ทำรถที่สมรรถนะสูงขึ้นเรื่อยๆ และพักหลังๆ รถก็สามารถทำสมรรถนะไล่กวดรถสปอร์ตพันธุ์แท้อย่าง Ferrari กับ Lamborghini บางรุ่นเลยด้วยซ้ำ (Bentley Continental GT Speed ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 331 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ถึงแม้มันจะไม่นับเป็น Supercar ก็ตาม แต่ Grand Tourer น้ำหนัก 2 ตันกว่า คันนี้ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกหนักอืดเลยแม้แต่น้อย โดย Bentley รุ่นใหม่ๆ เป็นอะไรที่กล้าที่จะแตกต่าง เหมือนเรือยอร์ชหรูขนาดใหญ่ที่ใส่สมรรถนะของสปีดโบ๊ทเข้าไป และครั้งนี้จะมาแนะนำ Bentley Continental GT ซึ่งเปิดตลาดด้วยรุ่นเครื่องยนต์ W12 และออกรุ่นเครื่องยนต์ V8 ตามมา และรุ่นใหม่ล่าสุด Bentley Continental GT V8 S ก็เป็นอะไรที่วิเศษสุดๆ ถ้าจะกล่าวถึงตัวเลขสมรรถนะแล้วจะทำให้เราลืมภาพลักษณ์เก่าๆ ของ Bentley ที่เป็นแค่ราชรถนั่งเต๊ะจุ๊ยไปวันๆไปได้เลยเพราะเห็นสมรรถนะแล้วต้องตกใจว่านี่มัน Bentley จริงๆหรือ ด้วยเครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุดที่ 521 แรงม้า ในรอบเครื่องที่ 6,000 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุดที่ 680 นิวตัน-เมตร ในรอบต่ำเพียงแค่ 1,700 รอบต่อนาที ทำให้เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดของ ZF ไม่ต้องลากรอบเครื่องสูงนักก็สามารถส่งผ่านกำลังไปสู่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อพาตัวรถน้ำหนัก 2,295 กิโลกรัม พุ่งจากจุดหยุดนิ่งไปถึงความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 4.5 วินาที และสามารถพาไปแตะความเร็วสูงสุดได้ถึง 309 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่าให้ตัวเลขสมรรถนะใกล้เคียงกับ Jaguar F-Type ที่ใช้เครื่องยนต์ V8 5.0 ลิตรเลยทีเดียว และถ้าเร็วขึ้นอีก 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็จะเทียบเท่ากับ Ferrari F430 เลยด้วยซ้ำ ตัวรถมีขนาดโอ่โถงนั่งสบายถึงแม้เป็นรถ 2 ประตูโดยมีมิติตัวถังยาว 4,818 มิลลิเมตร กว้างรวมกระจกข้าง 2,226 มิลลิเมตร ไม่รวมกระจกข้าง 1,947 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,746 มิลลิเมตร ความสูงจากพื้นถึงหลังคา 1,391 มิลลิเมตร ความจุห้องสัมภาระ 358 ลิตร ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง 90 ลิตร โดยมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 9.35 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งก็หมายความว่าเติมน้ำมันเต็มถังสามารถขับไปได้ไกล 841.5 กิโลเมตร อัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 250 กรัมต่อกิโลเมตร และที่สำคัญ Bentley Continental GT V8 S รองรับน้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85 ลักษณะการขับขี่ของ Bentley Continental GT V8 S ถึงแม้จะไม่ได้เป็นแบบรถสปอร์ตที่แท้จริงแต่ก็ให้สมรรถนะเทียบเท่ารถสปอร์ต การเร่งและการควบคุมแข็งกร้าวและดุดันขึ้น ถึงแม้จะหนักถึง 2.3 ตันแต่ด้วยความสูงของรถที่ไม่มากนัก และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อจะทำให้คุณขับเข้าโค้งอย่างมั่นใจว่ามันเกาะถนนดีอยู่ และ Bentley ก็ได้ปฏิวัติจุดยืนเดิมๆ ผ่านรุ่น Continental GT หลายๆรุ่น ให้เกิดการสร้างสรรค์สมรรถนะใหม่ขึ้นมาซึ่งก็ควรจะเดินหน้าต่อไปในอนาคตเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าสมรรถนะกับความเรียบหรูภูมิฐานไม่ได้เป็นสิ่งที่แยกออกจากกันเหมือนในอดีตอีกต่อไปแล้ว

ท่อคู่รูปทรง Infinity หรือเลข 8 แนวนอน

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Mercedes-Benz C-Class ซีดานหรูที่อยู่คู่คนไทยมาช้านาน

ที่เห็นในภาพคือ C250 AMG Dynamic

      ปฏิเสธไม่ได้ว่ารถหรูอันดับต้นๆที่คนไทยจะต้องนึกถึงคือยี่ห้อ Mercedes-Benz กลุ่มคนที่เล่นรถยุโรปในเมืองไทยหลายคนเริ่มต้นที่ Mercedes-Benz โดยมี BMW เป็นคู่แข่งตัวฉกาจ และ Mercedes-Benz ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในตลาดคงหนีไม่พ้น Mercedes-Benz C-Class โดย Mercedes-Benz C-Class เริ่มทำตลาดมาตั้งแต่ปี 1992 จนมาถึงปัจจุบันก็ยาวนานถึง 22 ปี โดย C-Class ผลิตออกมาทั้งหมดรวมรุ่นปัจจุบัน ปี 2014 เท่ากับ 5 รุ่นด้วยกัน Mercedes-Benz C-Class รหัสตัวถัง W205 มีความแตกต่างจากรุ่นก่อนคือตัวถังใหญ่ขึ้น และน้ำหนักเบาลง ซึ่งมิติตัวถังรถยาว 4,686 มิลลิลิเมตร กว้าง 1,810 มิลลิเมตร โดยตัวถังรถยาวกว่าเดิม 95 มิลลิเมตร กว้างขึ้นกว่าเดิม 40 มิลลิเมตร และมีฐานล้อยาว 2,840 มิลลิเมตร ยาวขึ้นกว่าเดิม 80 มิลลิเมตร ทั้งยังน้ำหนักเบาลงถึง 100 กิโลกรัม โดยในไทยมีให้เลือกอยู่ 2 รุ่นย่อย คือ C250 AMG Dynamic และ C180 Exclusive

C180 Exclusive
     โดยรุ่น C250 AMG Dynamic ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร มีแรงม้าสูงสุดที่ 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,200-4,000 รอบต่อนาที ส่งตัวรถจากจุดหยุดนิ่งไปถึงความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ภายในเวลา 6.6 วินาที มีความเร็มสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับนักโมดิฟายมือฉมังสามารถปลดล็อกความเร็วมากกว่านี้ได้ อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 17.05 กิโลเมตรต่อลิตร ความจุถังน้ำมัน 66 ลิตร นั่นหมายความว่าถ้าเติมน้ำมันเต็มถังสามารถวิ่งได้ 1,125.3 กิโลเมตร อัตราการปล่อย Co2 โดยเฉลี่ย 135 กรัมต่อกิโลเมตร
     ส่วนรุ่น C180 Exclusive ใช้เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร มีแรงม้าสูงสุด 156 แรงม้าที่ 5,300 รอบต่อนาที แรงบิด 250 นิวตัน-เมตร ที่ 1,200-4,000 รอบต่อนาที มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 8.5 วินาที มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 223 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 17.85 กิโลเมตรต่อลิตร อัตราการปล่อยมลพิษโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 130.5 กรัมต่อกิโลเมตร ความจุถังน้ำมันเท่ากับรุ่น C250 AMG Dynamic ที่ 66 ลิตร ซึ่งก็เท่ากับว่าเติมน้ำมันเต็มถังสามารถขับได้ไกลถึง 1,178.1 กิโลเมตร โดยรุ่น C250 AMG Dynamic ตั้งราคาไว้ที่ 3,190,000 บาท และ C180 Exclusive ตั้งราคาไว้ที่ 2,790,000 บาท

Jaguar F-Type R Coupe สืบสานตำนานต่อจากบรรพบุรุษ

  
     Jaguar ค่ายรถยนต์ที่ปัจจุบันเน้นทำตลาดรถซีดานหรือซาลูนมากกว่าที่จะทำรถสปอร์ต ถ้าหากจะถามว่ารถสปอร์ตที่สุดยอดของ Jaguar คือรุ่นใดนั้นต้องย้อนไปถึง 50 กว่าปีที่แล้ว กับรถสปอร์ตที่มีชื่อรุ่นว่า Jaguar E-Type ซึ่งใช้เครื่องยนต์ระดับ V12 นอกจากนั้น Jaguar ก็ผลิตมาแต่รุ่น XF XJ ซึ่งเป็นรถซาลูน มีเพียง XK ที่เป็นรถสปอร์ต แต่บุคลิกจะออกเป็น GT เสียมากกว่า ซึ่งรุ่น XK นี้ก็มีอายุตลาดอยู่นานพอดูแล้ว ในที่สุดก็ปลดระวางจากสายการผลิต เนื่องจาก Jaguar F-Type มาแทนที่ ซึ่งรุ่นย่อยที่แรงที่สุดในตอนนี้คือ Jaguar F-Type R Coupe





     Jaguar F-Type R Coupe ใช้เครื่องยนต์วางหน้าเบนซินซูเปอร์ชาร์จ V8 5.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 550 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 680 นิวตัน-เมตร ที่ 2,500 รอบต่อนาที พาตัวรถที่หนัก 1,779 กิโลกรัม พุ่งทะยานจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 4.2 วินาที มีความเร็วสูงสุดถึง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่าให้ฟีลลิ่งการขับขี่แบบสปอร์ตเต็มอารมณ์เสียที นับจากมีรุ่น E-Type และ XJ220 เป็นต้นมา ทางด้านระบบขับเคลื่อนเป็นระบบขับเคลื่อนล้อหลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ quickshift 8 จังหวะของ ZF นับว่าเป็นรุ่นที่น่าสนใจรุ่นหนึ่ง และน่าจะเป็นรุ่นที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับ Jaguar รุ่นอื่นๆ ในยุคปัจจุบัน ที่มีผลิตออกมาขาย (ไม่นับรุ่นพิเศษ) โดยสื่อหลายสำนักถึงกับนำไปเปรียบเทียบกับ Porsche 911 เลยทีเดียว Jaguar F-Type R Coupe เป็นรถที่ให้ความรู้สึกสปอร์ต มีสุ้มเสียงเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง และยังมีเสียงดังแบบหวานหูฟังแล้วไม่รำคาญเหมือนรถใส่ท่อแต่งกากๆ ตามบ้านเรา ความงามของเส้นสายบนตัวถังทำออกมาได้อย่างน่าชื่นชม ด้านบุคลิกการขับขี่เป็นรถที่ปราดเปรียวพวงมาลัยตอบสนองไวมาก และด้วยแรงบิดถึง 680 นิวตัน-เมตร ในรอบที่ต่ำเพียง 2,500 รอบต่อนาที ก็สามารถส่งตัวรถให้ดริฟท์ไปกับถนนอย่างง่ายดาย เนื่องจากเป็นรถเครื่องยนต์วางหน้าขับเคลื่อนล้อหลัง แรงกดจึงไปลงที่ส่วนหน้ามากกว่าส่วนหลังจึงทำให้สามารถบังคับรถให้ปัดได้ง่ายขึ้น เพราะมีแรงกดไม่มากตรงส่วนล้อที่ขับเคลื่อน แต่ก็ส่งผลเสียให้กับอัตราเร่งสปีดต้นจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งควรจะทำได้ต่ำกว่า 4 วินาที แต่พละกำลังบางส่วนก็เสียไปกับการหมุนฟรีของล้อหลัง แต่ก็ถือว่าบุคลิกการตอบสนองแบบนี้เป็นรถที่ขับสนุก เพราะสามารถโชว์ดริฟท์ได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงมากนัก และมันก็ยังเป็นรถที่เร็วมากอยู่ดี Jaguar F-Type R Coupe เปิดราคาในไทยไว้ที่ 11,250,000 บาท สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ตัวแทนจำหน่าย

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Aston Martin V12 Vantage S กบออกนอกกะลา


Aston Martin V12 Vantage S
Aston Martin ค่ายรถสปอร์ตชื่อดังจากแดนผู้ดีประเทศอังกฤษ มีประวัติยาวนานเข้าร่วมการแข่งรถอยู่หลายรายการที่สำคัญที่สุดก็คือ การแข่งขัน Le Mans 24 hours ในด้านภาพลักษณ์ถือว่าเป็นรถหรูที่บรรดาเศรษฐีไฮโซเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ครอบครอง มีรถขึ้นหิ้งที่เป็นตำนานอยู่หลายรุ่น เช่น DB7 DB9 Vanquish เป็นต้น ทั้งยังเป็นรถที่นำไปแสดงในหนังเรื่องพยัคฆ์ร้า่ย 007 หรือ James Bond 007 แล้ว ยิ่งทำให้รถยี่ห้อนี้เป็นที่รู้จักมากขึ้น อย่างไรก็ตามตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันยังไม่มีรถรุ่นใดที่สามารถเขย่าบรรลังผู้เป็นเจ้าตลาดแห่งวงการซูเปอร์คาร์อย่าง Ferrari ได้ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะแนวคิดในด้านอนุรักษ์นิยมซึ่งไม่เคยคิดจะเปลี่ยนไปทำอะไรใหม่ๆเลย ใช้เทคโนโลยีและความรู้ทางด้านวิศวกรรมแบบเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาจนน่าเบื่ออยู่หลายครั้ง ต้องยอมรับว่าค่ายนี้กว่าจะออกรุ่นใหม่ทีนานเป็นชาติพอเปลี่ยนรุ่นใหม่ก็ยังใช้เครื่องยนต์เดิมๆ สมรรถนะแบบเดิมๆ ไม่ค่อยพัฒนาขึ้นเท่าไหร่ แล้วค่อยมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทีละส่วนแต่ก็ไม่เคยปรับปรุงในส่วนของเครื่องยนต์ ทำให้สมรรถนะสู้ Ferrari ไม่ค่อยจะได้ และดูเหมือนทาง Aston Martin เองก็ไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่นัก เลยปูภาพลักษณ์ให้รถเป็น Grand Touring มากกว่าจะเป็นรถ Supercar ความเร็วสูง ต่างกับค่าย Mclaren เพื่อนร่วมชาติซึ่งตั้งเป้าแข่งกับ Ferrari โดยตรง
     แต่มาวันนี้ Aston Martin มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V12 ขุมกำลังใหม่ ที่นำมายัดใส่ตัวถังไซส์กะทัดรัดพื้นฐาน platform มาจาก รุ่น V8 Vantage โดย Aston Martin ตั้งชื่อรถรุ่นนี้ว่า Aston Martin V12 Vantage S ซึ่งรถรุ่นนี้น่าจะเป็นคันเดียวที่สามารถทำสมรรถนะพอที่จะกดดัน Ferrari ได้ (ไม่นับ Aston Martin One77) โดย Aston Martin V12 Vantage S เป็นรถเครื่องยนต์วางกลาง ขับเคลื่อนล้อหลัง ใช้เครื่องยนต์ V12 6.0 ลิตร QuadOverHeadCamshaft 48 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 565 แรงม้า ที่ 6,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 620 นิวตัน-เมตร ที่ 5,750 รอบต่อนาที สามารถพารถที่มีน้ำหนัก 1,665 กิโลกรัมคันนี้ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.7-3.9 วินาที มีความเร็วสูงสุดถึง 330 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มากยิ่งกว่า Ferrari F458 Italia (325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) มีอัตราการบริโภคน้ำมันที่น่าสยดสยองถึง 1.77 กิโลเมตรต่อลิตร ถ้าหากขับแบบนักแข่ง F1 แต่ถ้าขับแบบชาวบ้านธรรมดาสามัญก็จะประหยัดถึง 5.8 กิโลเมตรต่อลิตรซึ่งก็ถือว่าดีแล้วกับเครื่องยนต์ V12 6.0 ลิตร ที่มีพละกำลังถึงขนาดนี้ ซึ่ง Aston Martin V12 Vantage S มีความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร หมายความว่าถ้าคุณเติมน้ำมันเต็มถังจะสามารถวิ่งไปได้ 141.6 กิโลเมตรถ้าวิ่งแบบตีนผี และ 464 กิโลเมตรถ้าขับแบบคนปกติ
     สรุปแล้วรุ่นนี้ถือว่าทำสมรรถนะได้น่าประทับใจขึ้น และลูกค้ากลุ่มนี้คงไม่สนเรื่องอัตราการบริโภคน้ำมันอยู่แล้ว ถือเป็นสิ่งที่ดีที่ Aston Martin ใช้ Ferrari เป็นเป้าหมายที่จะพุ่งชนซะที รถรุ่นนี้ Aston Martin V12 Vantage S ฉีกภาพลักษณ์ของรถทุกรุ่นของ Aston Martin ถือได้ว่าเป็นกบอยู่ในกะลามานานเดี๋ยวนี้เป็นกบออกนอกกะลาซะที

ตัวอักษร VantageS ที่ฝากระโปรงท้าย

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Lotus Exige S สปอร์ตเล็กพริกขี้หนูที่เปลี่ยนไปใช้เครื่องใหญ่ขึ้น


หลายคนที่เป็นสาวก Lotus คงจะทราบดีอยู่แล้วว่าค่ายนี้เน้นทำรถสปอร์ตที่ปราดเปรียวมีน้ำหนักเบา ขนาดเล็ก และใช้เครื่องยนต์ 1.8-2.0 ลิตร โดย Exige S Series 2 ตัวเดิมนั้นยังใช้เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร DOHC 4 สูบ VVTL-i พ่วง supercharge-intercooler ของ Toyota ให้กำลังถึง 218 แรงม้า ที่ 7,800 รอบต่อนาที แรงบิด 215 นิวตัน-เมตร ที่ 5,500 รอบต่อนาที โดยที่เครื่องยนต์นี้รับภาระน้ำหนักรถแค่ 933 กิโลกรัม เทียบเป็นแรงม้าต่อน้ำหนักแล้วต้องบอกว่ามีถึง 233 แรงม้าต่อตัน เหยียบคันเร่งทีนี่เหมือนกับจะบิน มาโฉมปัจจุบัน Exige S Series 3 มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก คิดค้นและผลิตเครื่องยนต์ของตัวเอง ถึงแม้บริษัทจะประสบกับช่วงวิกฤติทางการเงิน และยอดขาย ถือว่าน่าชมเชยมาก โดย Lotus Exige S รุ่นปัจจุบัน ใช้เครื่องยนต์วางกลาง V6 VVTi DOHC 24 วาล์ว 3.5 ลิตร มาพร้อม supercharger ให้กำลัง 345 แรงม้า ที่ 7,000 รอบต่อนาที แรงบิด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนล้อหลังผ่านเกียร์ธรรมดาอัตราทดชิด (close ratio) 6 จังหวะ น้ำหนักตัวรถเปล่าอยู่ที่ 1,176 กิโลกรัม จะเห็นว่าน้ำหนักเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมถึง 243 กิโลกรัม ถือว่าเพิ่มขึ้นมากมายมโหฬารเลยทีเดียว เนื่องจากใช้เครื่องยนต์ที่ใหญ่ขึ้น แต่เมื่อเทียบแรงม้าต่อน้ำหนักแล้วก็ยังมีถึง 293 แรงม้าต่อตัน โดยเครื่องยนต์สามารถสร้างสมรรถนะความเร็วให้กับรถโดยมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใช้เวลา 4.0 วินาทีโดยปกติ แต่สามารถทำได้ดีที่สุดที่ 3.8 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 274 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้านอัตราบริโภคน้ำมันนั้น แน่นอนว่าสมรรถนะแบบนี้ถ้าจะเปลืองน้ำมันไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่รถคันนี้ก็ยังมีอัตราประหยัดน้ำมันโดยเฉลี่ยวิ่งได้ 10 กิโลเมตรต่อลิตร ถ้าหากขับแบบเค้นอัตราเร่งสลับกับขับแบบชิลๆบ้าง ซึ่งก็ถือว่าดีกว่า SUV ราคาถูกบางรุ่นบางยี่ห้อด้วยซ้ำ อัตราการก่อมลพิษ Co2 อยู่ที่ 236 กรัมต่อกิโลเมตร ออปชั่นความปลอดภัยภายในรถก็มีตามมาตรฐานทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบเบรกABS ตัวถังคอมโพไซต์ดูดซับแรงกระแทก เข็มขัดนิรภัย คานเหล็กกันกระแทกด้านข้าง และสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆก็มีช่วงล่างแบบอิสระปีกนกคู่พร้อมด้วยเหล็กกันโคลง โดยใช้โช้คอัพแก๊สสมรรถนะสูงของ Bilstein และคอยล์สปริงของ Eibach มีท่อไอเสียสปอร์ตพร้อมวาล์วบายพาส ลิ้นสปอยเลอร์ด้านหน้าส่งผ่านและจัดเรียงอากาศออกไปที่ diffuser ด้านหลัง ยาง Pirelli P Zero ด้านหน้าขนาด 205/45 R17 ด้านหลังขนาด 265/35 R18 โดยยางมีให้เลือกระหว่างรุ่น Corsa กับ Trofeo ราคาจำหน่ายในไทยไม่เปิดเผยสามารถสอบถามตัวแทนจำหน่ายได้ด้วยตัวท่านเอง

ส่วนที่ล้อมกรอบสีแดงคือ diffuser มีท่อบายพาสอยู่ตรงกลาง

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เปิดศึกสายเลือด Chevrolet Sonic vs Ford Fiesta B-Segment 1.4 ลิตร ในรุ่น Sedan

หลังจากรีวิวรถญี่ปุ่นมามากมายครั้งนี้ถือโอกาสพูดถึงรถอเมริกันทั้ง 2 ค่ายกันบ้าง นั่นก็คือ Chevrolet Sonic และ Ford Fiesta โดยในครั้งนี้ขอนำมาเปรียบเทียบ ในรุ่นซีดาน 4 ประตู เครื่องยนต์ 1.4 ลิตร เกียร์ธรรมดา ทำไมผมถึงไม่นำเกียร์ออโต้มาเปรียบเทียบด้วย ก็เพราะเกียร์ออโต้ของทั้ง 2 รุ่นมันห่วยสิ้นดี Sonic ก็อืดบรรลัยแถมเปลืองน้ำมันโคตร Fiesta ก็เกียร์กระตุกยังกับรถยุคปี 90 แต่ถ้าให้ตัดสินรุ่นเกียร์ออโต้บอกได้เลยว่า Fiesta ชนะขาด แต่ในรุ่นเกียร์ธรรมดาจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าเรามาดูกัน เริ่มจาก

Chevrolet Sonic
ใช้เครื่องยนต์ รหัส A14XFR 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว กำลัง 100 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 130 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ E20 น้ำหนักรถเปล่า 1,173-1,268 กิโลกรัม รัศมีวงเลี้ยว 5.3 เมตร และ

Ford Fiesta
มากับเครื่องยนต์ Duratec 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 95 แรงม้า ที่ 5,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 126 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบต่อนาที น้ำหนักรถเปล่า 1,107 กิโลกรัม รัศมีวงเลี้ยว 5.1 เมตร

พอมาเป็นรุ่นเกียร์ธรรมดาแล้วอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง Fiesta ใช้เวลาประมาณ 12 วินาที ส่วน Sonic ใช้เวลาประมาณ 13 วินาที ช้ากว่ากัน 1 วินาที ถ้าเป็นในสนามแข่งเวลาห่างกัน 1 วินาทีถือว่าห่างกันมาก แต่เมื่อเป็นการขับรถในชีวิตประจำวันมันก็ไม่รู้สึกแตกต่างกันเท่าใดนัก ในช่วงความเร็วปลาย Sonic จะขึ้นไปแตะความเร็วสูงสุดได้มากกว่า คือ 180 ปลายๆ เกือบ 190 ตัวเลขในหน้าปัดดิจิตอลมันกระพริบไปมาระหว่าง 188 กับ 189 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วน Fiesta เข็มเลย 180 มานิดหน่อย น่าจะไม่เกิน 183 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งคู่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับความแข็งแรงของตัวถังในรถคอมแพ็กซีดาน B-Segment โดย Sonic ทดสอบการชนผ่านมาตรฐาน Euro 5 ส่วน Fiesta ก็มีตัวอย่างการรอดชีวิตจากการชนหลายครั้งในต่างประเทศ เรื่องช่วงล่างและพวงมาลัย Sonic กินขาด ทั้งความหนึบของช่วงล่าง การดูดซับแรงสะเทือน เฟิร์มกำลังดี พวงมาลัยทั้งทิศทางความแม่นยำและน้ำหนักปรับมาได้อย่างเหมาะสมมีความหนืดมือให้ความมั่นใจยามใช้ความเร็วสูง ส่วน Fiesta ช่วงล่างถ้าเทียบกับรถอย่าง Honda City, Toyota Vios ถือว่าช่วงล่างดีกว่ามาก แต่ยังรู้สึกสะเทือน ซับแรงกระแทกได้ไม่ดีเท่า Sonic ถ้าเทียบกับ Sonic แล้วก็ถือว่าช่วงล่าง Fiesta ด้อยกว่ามาก ซึ่งช่วงล่างของ Sonic สามารถเอาชนะรถซีดาน C-Segment บางรุ่นด้วยซ้ำ (Corolla Altis เป็นหนึ่งในนั้น รวมถึง Civic FD ที่เคยเขียนรีวิวไปก่อนหน้านั้นด้วย) มาดูด้านอัตราการบริโภคน้ำมัน Sonic ยังเปลืองน้ำมันกว่า Fiesta อยู่ แต่ในเรื่องความสะดวกสบายในการขับขี่ Sonic ทำได้ดีมากคลัทช์และเบรกปรับเซ็ตน้ำหนักมาพอเหมาะทำให้เวลาเหยียบรู้สึกไม่เมื่อยนัก เบาะคนขับนั่งสบายกว่า Fiesta นิดหน่อย สามารถจำแนกให้คะแนนในด้านต่างๆ ดังนี้

อัตราเร่ง อัตราการบริโภคน้ำมัน
Fiesta  5/10
Sonic   4/10

ช่วงล่าง และพวงมาลัย
Sonic 10/10
Fiesta  7/10

ความสบายในการขับขี่
Sonic  8/10
Fiesta  7/10

สุดท้ายเรื่องโครงสร้างตัวถังและความปลอดภัย ให้เสมอกันที่ 8 คะแนน

สรุป: พอมาเป็นรุ่นเกียร์ธรรมดาความห่างชั้นด้านอัตราเร่งที่ Sonic เป็นรอง Fiesta อยู่หลายขุมในรุ่นเกียร์ออโต้ กลับมาเป็นสมรรถนะใกล้เคียงกันมากขึ้นโดย Sonic อืดกว่านิดหน่อย เทียบกับช่วงล่างที่ Sonic ดีกว่ากันเยอะแบบสุดกู่แล้ว Sonic จึงเข้าวินไป

ฟันธง: ถ้ารุ่น 1.4 ลิตร เกียร์ธรรมดา ต้อง Chevrolet Sonic


ศึก Sedan Eco car: Nissan Almera vs Mitsubishi Attrage vs Honda Brio Amaze

ออกมาทำตลาดกันตั้งแต่ปี 2013 แล้ว จะไม่พูดถึงเลยก็คงไม่ได้สำหรับรถในเซกเมนต์ใหม่ eco car เครื่องยนต์ 1.2 ลิตรในรูปแบบซีดาน 4 ประตู ที่ผลิตออกมาเพื่อตอบโจทย์ทั้งเรื่องความประหยัด และความกว้างของห้องโดยสาร ในกลุ่มนี้มีตัวเลือกหลักๆ คือ Nissan Almera, Mitsubishi Attrage, Honda Brio Amaze โดยมาเริ่มกันที่

Nissan Almera
มากับเครื่องยนต์ HR12DE 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.2 ลิตร 79 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 106 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที มีให้เลือกใช้ทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์ CVT ที่มีชื่อเรียกเฉพาะว่า XtronicCVT น้ำหนักรถเปล่าโดยประมาณ 962 - 1,027 กิโลกรัม ความจุห้องสัมภาระด้านท้าย 490 ลิตร รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.2 เมตร ต่อด้วย

Mitsubishi Attrage
ใช้เครื่องยนต์ 3A92 3สูบ DOHC Mivec 12 วาล์ว 1.2 ลิตร 78 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 100 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที มีให้เลือกทั้ง เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และเกียร์ Invect III CVT น้ำหนักรถเปล่าประมาณ 885 - 930 กิโลกรัม ความจุห้องสัมภาระด้านท้าย 450 ลิตร รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 4.8 เมตร

Honda Brio Amaze
มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4สูบ SOHC 16 วาล์ว i-VTEC 1.2 ลิตร 90 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 110 นิวตันเมตรที่ 4,800 รอบต่อนาที มีให้เลือกทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และรุ่นเกียร์ CVT น้ำหนักรถเปล่าประมาณ 925 - 950 กิโลกรัม ความจุห้องสัมภาระด้านท้าย 420 ลิตร รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 4.5 เมตร

มาเปรียบเทียบกันดูเหมือนกับว่า Attrage เรี่ยวแรงน้อยที่สุดแต่กลับกลายเป็นว่ามันทำผลงานได้ดีที่สุดในเรื่องของอัตราเร่ง และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง Brio Amaze ที่รู้สึกว่าขับแล้วเหมือนจะเร็วแต่จับเวลาจริงๆ กลับแพ้ให้ Attrage (เฉพาะรุ่นเกียร์ธรรมดา ส่วนเกียร์ CVT Attrage จะอืดที่สุด แต่ก็ยังประหยัดน้ำมันที่สุดอยู่ดี) ส่วน Almera นั้นอืดที่สุดคงเป็นเพราะแบกน้ำหนักมากกว่าใครเพื่อน แต่ในการเร่งแซงยังแอบทำได้ดีกว่า Brio Amaze ในรุ่นเกียร์ธรรมดา และ Almera ยังประหยัดน้ำมันเป็นอันดับสองรองจาก Attrage แต่ในเรื่องความกว้างและความสะดวกสบายต้องยกให้ Nissan Almera โดยตัวรถกว้างที่สุดทั้งห้องโดยสารและห้องสัมภาระ Brio Amaze จะได้ในเรื่องของการขับขี่ที่รู้สึกสนุกกว่าทั้ง 2 คันที่เหลือ แต่เอาจริงๆ แล้วอัตราเร่งดันไปแพ้ Attrage ที่ขับแล้วไม่รู้สึกอะไรแต่ก็ต้องตกใจเมื่อจับเวลาแล้วมันเร็วที่สุดจริงๆ ที่ Brio Amaze ชนะจริงๆ เป็นส่วนของช่วงล่างและพวงมาลัยที่ทำออกมาได้ลงตัวกว่าทั้ง Attrage และ Almera โดย Attrage รั้งอันดับสอง และ Almera รั้งอันดับบ๊วย โดยสามารถให้คะแนนในด้านต่างๆ ดังนี้

อัตราเร่ง (คะแนนเต็ม 10)
1.Attrage              3  คะแนน
2.Brio Amaze       2  คะแนน
3.Almera              1  คะแนน

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ความประหยัด (เต็ม 10)
1.Attrage             10  คะแนน
2.Almera               9  คะแนน
3.Brio Amaze      8.5 คะแนน

 พื้นที่ใช้สอยความสะดวกสบาย (เต็ม10)
1.Almera          10   คะแนน
2.Attrage          9.5  คะแนน
3.Brio Amaze     5  คะแนน

รูปร่างรูปทรงภายนอก (เต็ม10)
1. Almera, Attrage ได้อันดับหนึ่งร่วมกัน 8 คะแนน
3.Brio Amaze ครองบ๊วย 3 คะแนน

ช่วงล่าง พวงมาลัย ความคล่องตัว (เต็ม 10)
1. Brio Amaze  5 คะแนน
2. Attrage         4 คะแนน
3. Almera        3.5 คะแนน

ฟีลลิ่งการขับขี่ ความสนุก ปัจจัยทางอารมณ์ (เต็ม 10)
1.Brio Amaze   3  คะแนน
2.Attrage          2 คะแนน
3.Almera        1.5 คะแนน

อยากจะอธิบายว่าโดยหลักๆ Attrage และ Almera ตอบโจทย์วัตถุประสงค์ของ eco car ได้มากกว่า ในขณะที่ Brio Amaze ไปชนะในเรื่องที่ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของ eco car ทั้งยังชนะไม่ขาดอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่อัตราเร่งมันควรจะดีกว่าแบบขาดกระจุยเพราะได้เปรียบชาวบ้านเขาตรงที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ ในขณะที่คู่แข่งมีแค่ 3 สูบ แต่กลับทำเวลาได้ใกล้เคียงกัน จึงขอสรุปดังนี้

อันดับ 1. Mitsubishi Attrage เทียบราคากับสมรรถนะที่ได้ถือว่าคุ้มค่า
อันดับ 2. Nissan Almera กว้างขวางสะดวกสบาย วัสดุภายในแอบหรูกว่าคู่แข่ง ยังน่าซื้อถึงแม้จะอืดที่สุด
อันดับ 3. Honda Brio Amaze คล่องตัวขับสนุกแล้วไง? ถ้าคุณมองรถประเภทนี้อยู่คุณควรเพิ่มงบไปซื้อ Honda City 1.5 ลิตรจะดีกว่า อีกอย่าง Brio Amaze จะดูขับสนุกเฉพาะเมื่อเทียบกับ eco car แต่ถ้าเทียบกับเซกเมนต์อื่นยังถือว่าจืดชืดน่าเบื่อหน่ายสุดๆ ทั้งรูปร่างอัปลักษณ์หน้าสั้นท้ายกุดนั่งอยู่ในรถแล้วรู้สึกเห่ยสิ้นดี

วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2557

used car: Honda Civic FD 2010 vs Mitsubishi Lancer EX 2010

เห็นหัวข้อแล้วบางคนบอกว่ารถสมัยพระเจ้าเหาแล้วจะเขียนถึงอีกทำไม ที่ยังพูดถึงมันอยู่ก็เพราะว่าด้วยรูปร่างหน้าตาของรถ 2 รุ่นนี้ มันเหมาะที่จะเอาไปทำเป็นรถซิ่งหรือแต่งซิ่งเป็นอย่างยิ่ง

Honda Civic FD





Mitsubishi Lancer EX
Civic นั้นดูโฉบเฉี่ยวแต่เส้นสายยังแฝงไปด้วยความอ่อนช้อย ส่วน Lancer EX นั้นจะออกแนวดุ ดูห้าวและเป็นผู้ชายมากกว่า ด้วยหน้าตาที่ถอดแบบ EVO X มาอย่างกับแกะ

EVO X ซึ่งต่างกันตรงช่องดักลมด้านหน้า และฝากระโปรง
รถทั้ง 2 รุ่น เลิกทำตลาดไปแล้ว แต่ Lancer EX ยังมีขายในโชว์รูมอยู่แต่รถนั้นเลิกผลิตไปแล้ว แถมมีแนวโน้มว่าจะไม่มีเจเนอเรชั่นต่อไป ส่วน Civic FD นั้น ตกรุ่นไปถึง 2 รุ่น คือมี Honda Civic FB มาแทน แล้วก็มาถึง All New Civic โฉมปัจจุบัน

แล้ว 2 คันนี้ใครดีกว่า จะว่าไปรถมือสองที่ใช้แล้วมันขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน ความสมบูรณ์ของรถ และระยะไมล์ในการใช้งาน ถ้าจะให้กล่าวถึงตัวเลขสมรรถนะ แรงม้า แรงบิด ก็คงไม่มีความหมายเท่าใดนัก เอาเป็นว่าถ้าสภาพสมบูรณ์พอๆ กัน Civic FD จะได้เปรียบเรื่องอัตราเร่ง และอัตราการบริโภคน้ำมัน แต่เรื่องอัตราเร่งก็ไม่ได้ห่างกันชัดเจน ที่ชัดเจนจะเป็นอัตราการบริโภคน้ำมันมากกว่า แต่เรื่องช่วงล่างและพวงมาลัย ยังสู้ Lancer EX ไม่ได้ โค้งที่ Civic FD ต้องถอนคันเร่งก่อนเข้า Lancer EX สามารถยัดเข้าไปได้เลยในความเร็วที่สูงกว่า แต่เครื่องยนต์ของ Lancer EX รู้สึกบุคลิกจะไม่เข้ากับเกียร์ CVT เอาเสียเลยเวลาจะออกตัวต้องกดคันเร่งลึกๆ ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกว่ารถอืด จะมีเรี่ยวแรงไหลทะลักมาก็ช่วงผ่าน 2,000 รอบต่อนาที ไปแล้ว ซึ่งการกดคันเร่งลึกเวลาออกตัวก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเปลืองน้ำมัน จริงๆ มันเหมาะกับเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด มากกว่า หรือ เหมาะกับเกียร์ธรรมดาไปเลยด้วยซ้ำ เพราะ ดูแล้วภาพลักษณ์ของรถมันขายในตลาดระดับ Mass ไม่ได้ แต่เหมาะสำหรับกลุ่มนักซิ่งมากกว่า แต่ก็มีข้อดีอีกอย่างคือรถรองรับน้ำมัน E85 สุดท้ายก็เรื่องของศูนย์บริการ และอะไหล่ มันทำให้ Honda ได้เปรียบขึ้นมาอย่างชัดเจน แต่ Mitsubishi ก็ไม่ได้น่ากังวลจนถึงต้องขนาดตัดออกไปจากตัวเลือก เพราะ อู่นอกที่มีความเชี่ยวชาญก็มีอยู่เยอะแยะ อะไหล่ก็ยังหาได้ไม่ถึงกับยาก ยังไงรถญี่ปุ่นมันก็หาอะไหล่ได้เรื่อยๆ อยู่แล้ว สรุปแล้วสำหรับศักยภาพโดยรวม Civic FD น่าใช้กว่า แต่ Lancer EX ก็มีเอกลักษณ์สำหรับนักซิ่งมากกว่า โดยส่วนตัวถ้าเป็นผมจะเลือก Lancer EX แต่เอาแต่ตัวถังแล้วไปวางเครื่อง 4G แล้วใส่เกียร์กระปุก แต่ถ้าจะให้แนะนำให้ซื้อ Civic FD ไปดีกว่าน่าใช้กว่ากันเยอะถึงแม้ช่วงล่างจะอยู่แค่ระดับปานกลางก็เถอะแต่เอาไปใส่โช้คแต่งมันก็ดีขึ้นเอง

ฟันธง: Honda Civic FD เฉือนเอาชนะไป